วันที่ ๒๖ มกราคมที่ผ่านมา ผู้มีพระคุณของผมถึง ๒ คนได้เสียชีวิตในวันเดียวกัน
คนแรกคือ นางจุไร พึ่งรัศมี ผู้ซึ่งผมเรียกติดปากว่า..เลาหลักซิ้ม หรือ คุณย่าลำดับที่หก ท่านเป็นคนไทยที่มาแต่งงานกับคุณปู่ลำดับที่หก..น้องชายของคุณปู่ผม ในครอบครัวไทยจีนของเรา
เดิมท่านทั้งสองเปิดร้านค้าขายในตัวเมืองยะลา แต่หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ของจังหวัดยะลาหลายสิบปีก่อน ที่บ้านของท่านถูกไฟไหม้ด้วย จึงได้ย้ายไปอยู่กับบุตรสาวทั้งสามคนของท่านที่ทำงานและมีครอบครัวในกรุงเทพฯ
ท่านเป็น ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่เป็นภรรยาที่ดี ปฏิบัติหน้าที่ของคู่ครองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มีความโอบอ้อมอารี เลี้ยงดูลูกหลานและบริวารอย่างเมตตากรุณา เป็น เมียและแม่ที่ดี เรื่องที่ดูแสนจะธรรมดา แต่ผมคิดว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่สตรีคนหนึ่งจะมีได้ และหาได้ไม่ง่ายนักในสังคมปัจจุบัน
ในบรรดาผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่าตายายที่ผมรู้จัก นอกจากคุณย่าแท้ๆของผมที่ใกล้ชิดมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็มีเลาหลักซิ้มนี้แหละครับ ที่ผมสนิทสนมใกล้ชิด เพราะช่วงเวลาหนึ่งที่ผมยังเรียนอยู่ในกรุงเทพฯ ผมได้ไปพักอาศัยที่บ้านถนนตกของท่านเป็นช่วงๆ ท่านก็เป็นห่วงเป็นใย ดูแลผมไม่ต่างจากหลานแท้ๆของท่านคนหนึ่ง
เพราะความที่ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด วันที่ผมรับปริญญา ท่านก็อุตส่าห์มาร่วมแสดงความยินดี โดยให้เหตุผลสั้นๆว่า “กลัวมันไม่มีใคร“
และวันที่ผมบวชที่ปัตตานี ท่านในวัยแปดสิบปีแล้วก็ยังเดินทางมาร่วม ผมยังจำวันนั้นได้ดีว่า เรากอดกัน..แล้วผมก็ร้องไห้
หลังจากที่ผมกลับมาทำงานที่สงขลา ผมมีโอกาสกลับไปเยี่ยมท่านนานๆครั้ง นับครั้งได้ จนถึงครั้งสุดท้ายเมื่อปีที่แล้ว สุขภาพของท่านทรุดโทรมลงตามวัย โดยเฉพาะหลังจากคุณปู่เสียชีวิต จนต้องมีผู้ดูแลตลอดเวลา..เหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง ท่านเริ่มหลงและสับสน แต่ก็ยังพอจำผมได้
ท่านเสียชีวิตในวัย ๘๗ ปี ผมเพิ่งกลับมาจากงานศพของท่านที่กรุงเทพฯ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ที่ครอบครัวพึ่งรัศมีจากทางใต้เป็นเจ้าภาพ แต่ผมไม่มีโอกาสอยู่ร่วมในพิธีเผา เก็บกระดูกและลอยอังคารของท่านเเหมือนญาติพี่น้องคนอื่น เพราะจำเป็นต้องจับเครื่องบินเที่ยวเช้าที่สุดของวันเสาร์ กลับมาเป็นวิทยากรหลักในการอบรมที่โรงพยาบาลสงขลาทั้งสองวัน...เสาร์อาทิตย์
มันตัดสินใจยากมากครับ เมื่อต้องเลือกระหว่างเรื่องของครอบครัว..การได้อยู่ร่วมในช่วงเวลาสำคัญของญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เราเคารพรัก กับเรื่องของงาน..ภาระหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ
แต่ผมก็สังเกตตนเองว่า ผมมักจะเลือกงานก่อนครอบครัวเสมอ ด้วยเหตุผลที่เข้าข้างตนเองว่า เพราะครอบครัวมักจะเข้าใจและให้อภัยเราเสมอ
..แล้วผมก็ร้องไห้
ผู้มีพระคุณอีกคนหนึ่ง คือ ร.อ. ละเมียน บุณยะมาน http://gotoknow.org/blog/morkrupra/76289
อ่านบันทึกด้วยความรู้สึก เศร้าๆ แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอยู่บ้าง นี่หละ..ชีวิต
ผมขอให้กำลังใจอาจารย์ครับ
คุณหมอเต็มศักดิ์ค่ะ
หนูขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ
สำหรับเหตุการณ์การสูญเสีย ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น หนูเองก็สูญเสียคุณตา ไปเมื่อ 3 ปีก่อน ท่านก็อายุมากแล้วค่ะ ช่วงที่ท่านป่วยมาก ๆ หนูสงสารท่านมากค่ะ เพราะว่าลุกขึ้นไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับเตียง
เมื่อวันที่แม่โทรมาบอกว่าคุณตาเสียแล้ว ใจหายค่ะ แล้วก็ร้องไห้หลังจากวางโทรศัพท์จากแม่
เป็นกำลังใจให้คุณหมอนะค่ะ
lสวัสดีค่ะ อาจารย์เต็มศักดิ์
ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียบุพการีทั้งสองของอาจารย์ไป.....แต่ขอให้กำลังใจในการประกอบคุณความดีของอาจารย์ต่อเพื่อนมนูษย์ต่อไปค่ะ
ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อได้อ่านหนังสือ ถ้าจำไม่ผิดก็น่าจะเป็น ศานติในเรือนใจ ของท่านติช เคยซื้อให้ใครหลายคน ท่านบอกว่า พ่อแม่ไม่เคยตายจากเราไป ท่านแนะนำว่า หากพ่อแม่ไม่สบายหนักมาก ให้เราบอกกับท่านว่า แม่จากเราไปเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น
แต่จิตวิญญาณและความเป็นแม่จะยังคงสิงสถิตอยู่ในตัวลูกตลอดไปแม่ไม่เคยจากลูกๆไปเลย หากแม่ได้ยินคำพูดนี้จะทำให้ท่านรู้สึกไม่ว้าเหว่ และไม่กลัวการจากไป เมื่อมาใคร่ครวญให้ชัดๆ ก็จริงอย่างที่ท่านบอก ลองย้อนไปตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่ เรากับแม่ก็เป็นหนึ่งเดียวกันแท้ๆ
คงได้เวลาที่เราต้องหันมาดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่าก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ดูแลท่านอีก
ขอพลังจงอยู่กับอาจารย์ต่อไป
หมอหลอง
ขอบคุณทุกท่านมากครับ
เห็นด้วยกับ หมอหลอง มากเลยครับ
หลวงพี่ไพศาล ท่านใช้คำว่า ..ยังอยู่ในสายเลือดและความทรงจำ
สวัสดีครับ อาจารย์ อัมพร
ผมเห็นอาจารย์แว๊บๆ ใน blog กำลังสะกดรอยตามอาจารย์อยู่เหมือนกันครับ