จากการประชุมที่มหาชีวาลัยเมื่อวานนี้ ผมได้ความรู้สึกใหม่ในบทบาทของมหาชีวาลัยต่อการพัฒนาชุมชน ในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครัวเรือน ชุมชน นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา บริษัทเอกชน ราชการ นักบริหาร นักการเมือง องค์กรพัฒนาเอกชน และบุคคลทั่วไป
งานที่ทางมหาชีวาลัยทำอยู่นั้น เป็นที่รองรับงานทุกระดับดังกล่าวแล้ว มาตลอดทั้งปี ทำให้มหาชีวาลัยแทบไม่เคยว่างจากผู้มาเยี่ยมเยือน
และวันนี้กระทรวง ICT ก็ยังขอใช้มหาชีวาลัยเป็นศูนย์สาระสนเทศ หนึ่งใน ๒๐ ศูนย์ทั่วประเทศ
งานจากนักวิชาการที่นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในรูปของงานวิจัยและพัฒนา จะนำมาทดสอบที่มหาชีวาลัยเป็นเบื้องต้น รอการปรับแต่ง “คลื่น” ให้เหมาะสมมากขึ้น ก่อนที่จะขยายสู่ชุมชนเครือข่าย ในรูปแบบของ “ฟ้าสู่ดิน” และงานของชุมชนที่นำมาแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนา แบบ “ดินสู่ฟ้า” ทั้งในเชิงวิชาการ และเชิงนโยบาย ก็จะนำมาปรับเปลี่ยนและแลกเปลี่ยนที่นี่เช่นกัน ในรูปแบบของตลาดนัดความรู้เพื่อการพัฒนา
ในบางกรณี นักวิชาการสายเดี่ยว ก็อาจมีโอกาสมาจับมือกันให้เป็นทั้งแบบผสมผสานทางความรู้ และหรือ จับมือกับผู้ใช้ความรู้โดยตรง เพื่อที่จะเปลี่ยนจากการใช้ชาวบ้านเป็นวัสดุวิจัย(อย่างที่เคยชินกันในวงวิชาการ) มาเป็นการทำงานร่วมกันในฐานะภาคีวิจัย
และยังทำจนถึงระดับที่เปลี่ยนปรัชญาการทำงานวิจัยจาก “ฉันอยากรู้ ฉันจึงทำ” มาเป็น “เราอยากรู้ เราจึง(ร่วมมือกัน)ทำ” ที่เป็นมิติการทำงานแบบมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ภายใต้หลักการจัดการความรู้แบบธรรมชาติ ระดับชุมชน (COP) ที่ทำให้ชุมชนพัฒนาตัวเองเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Learning community) และหนุนช่วยให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (LO)
ผลการทำงานของมหาชีวาลัยที่ผ่านมา จึงเป็นการทำงานแบบบูรณาการแบบครบวงจร และสามารถเป็นต้นแบบให้กับผู้สนใจในทุกมุมมองได้ดี
ดังนั้น การประเมินที่จะทำให้เห็นเนื้อแท้ของมหาชีวาลัย จึงต้องประเมินแบบบูรณาการ ไม่สามารถนำการมองเชิงเดี่ยวมาพิจารณาได้
ตัวอย่างการมองเชิงเดี่ยวที่ผ่านมานั้น ทำให้ดูเสมือนว่ามหาชีวาลัยทำงานไม่ค่อยประสพผลสำเร็จ ทั้งๆที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้อย่าง “ธรรมชาติ” ตามสไตล์ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ที่ยังไม่มีคำตอบ จนกว่างานนั้นๆจะผ่านไปแล้ว แต่ก็อาจมีความสับสนบ้างตามหลักการทำงานแบบ Chaordic การประเมินแบบเจาะช่องเวลาดูนั้นจะพบแต่ความสับสนแน่นอน
ต้นแบบที่กำเนิดที่มหาชีวาลัยนี้ จึงเป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าจะเลียนแบบขยายผลได้อีกหลายแห่งทั่วประเทศไทย ที่มีแกนนำในการดำเนินการ และกำลังรอการสนับสนุนในส่วนที่ขาด (ที่แตกต่างกัน) เพื่อสร้างพลังของการพัฒนาได้อย่างแท้จริง