เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน


........เอาสติ มาประคับประคองการกระทำ....

        หลังออกมาจากการฝึกสติครั้งแรก....

        หลังกลับออกมาสดๆร้อนๆเลย นั่งรถเพื่อนออกมา โลกข้างนอกมันช่างเร็วจริงๆ เสียงรถราเสียงอะไรต่อมิอะไรดังขวักไขว่ไปหมด ฉันชักมึน กำหนดสติตามไม่ทัน ชั่วโมงบินฉันยังไม่มากพอค่ะ555 ไม่ชอบอะไรเร็วๆแบบนี้เลยทำไมคนช่างรีบร้อนกันไปหมด 555 (ตอนก่อนเข้าไปฝึก ฉันชอบอะไรที่เร็วๆไม่ชอบช้ายืดยาด แต่พอฝึกได้ 7 วันกลับติดใจอะไรที่ช้าๆซะแล้ว)

        ฉันก็มาทำงานเช้าวันจันทร์  รู้สึกถึงความผิดปกติ สายตาลูกน้องมองมาหลายแบบ บางคู่ก็มองแบบหวาดๆประหนึ่งว่าฉันไปบวชมาสำเร็จขั้นไหนๆหรือเปล่า จะบอกหวยได้ไหมว่างวดหน้าจะออกอะไร บางคนก็จ้องดูว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไง แน่นอนคงหวังว่าควรจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น

       

       ต้องบอกก่อนว่า ฉันเป็นคนที่ชอบให้ลูกน้องทำงานเร็ว ถูกต้อง ถ้าไม่ได้ดังใจฉันมักจะโวยเลย ถ้าอารมณ์พาไปมากฉันอาจจะสรรเสริญลูกน้องว่า ทำงานแบบนี้ ไปไถนาดีกว่าน้อง ประมาณนั้นเลยค่ะ ใจร้อนค่ะ แต่กลับมานี่ ฉันอารมณ์เย็นขึ้น ลูกน้องทำงานผิดพลาดฉันก็เข้าใจ คนเราไม่ถนัดไปทุกอย่าง ฉันเป็นหมอแต่ถ้าให้ไปถ่ายฟิล์มฉันก้คงถ่ายสวยสู้เค้าไม่ได้ ให้ครูไปทำนา ชาวนามาเป้นครู ทหารไปทำงานแบงค์ โลกนี้คงจะวุ่นวายไปหมด  ตอนว่างๆพักกินข้าว บางทีฉันก็เห้นว่าลูกน้องถักไหมพรม ปักครอสติชสวยกว่าฉันตั้งแยะ 

      

          

      

  

        ดังนั้น เมื่อฉันเริ่มเข้าใจว่า คนเรามีความสามารถในเรื่องต่างๆไม่เท่ากัน ฉันจึงเริ่มเข้าใจลูกน้อง บางคนเก่งเรื่องนั้น บางคนถนัดเรื่องนี้  ฉันจึงไม่ว่าเค้าให้เจ็บช้ำน้ำใจ ลูกน้องบางคน มาบอกฉันว่าหลังจากดูท่าทีฉันอยู่ 1 อาทิตย์ พบว่าฉันใจเย็นขึ้นเยอะ ไม่สรรเสริญลูกน้องแรงๆเหมือนเคย ทำงานวิ่งไปวิ่งมาไม่ค่อยเหนื่อยด้วยนะคะ อืมการมีสติต่อเนื่องมากขึ้น  ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้นจริงๆ ทำงานก้ผิดพลาดน้อยลงอ่านหนังสือก็เร็วจำได้ดีขึ้น

         แต่........เมื่อเวลาผ่านไป  ลมปราณเริ่มแตกซ่าน 555  กิเลสเริ่มเข้าแทรก สติเริ่มหย่อนยาน  ฉันเริ่มจะกลับมาปากจัดเหมือนเดิม ขับรถโดนใครปาดหน้าเริ่มจะด่าโขมงโฉงเฉงอยู่ในรถอีกแล้ว ทำงานเยอะมากๆเริ่มสติตามไม่ทันมีหงุดหงิด เริ่มมีเขี้ยวงอกเตรียมจะกัดคนอีกแล้ว  แสดงว่าได้เวลากลับไปเข้าคอร์สฝึกสติใหม่เพื่อที่จะเอามาประคับประคองการคิด พูด และทำ จะได้ไม่เผลอสติทำอะไรไม่ดีมากไปกว่านี้

         หากคุณเห็นว่า ใครที่เพิ่งกลับมาจากการปฏิบัติธรรม อย่าจ้องจับผิดเค้าเลยค่ะ มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาย่อมต้องมีการทำดีบ้างไม่ดีบ้างทุกคน เค้าได้พยายามหาทางแก้ไขแล้วที่จะทำไม่ดีให้น้อยลง การไปฝึกมาแค่ครั้งสองครั้ง คุณจะคาดหวังให้สำเร็จถึงขั้นบรรลุธรรมชั้นไหนๆเลยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ ไม่ใช่สมัยพุทธกาล  จะให้ออกมาดี 100 % เลยก็เป็นการคาดหวังที่สูงเกินไปค่ะ เค้าแก้จากเลว 10 ลดลงมาเหลือเลว 6 นี่ก็นับว่าน้อยลงเยอะแล้ว ครั้งต่อๆไปอาจขัดเกลาเหลือสัก 3 หรือ 0 เลยสักวัน ดังนั้นหันมามองตัวเองกันดีกว่าค่ะ ว่าวันนี้เราได้ทำกุศล หรือ อกุศลใดไปบ้าง เบียดเบียนใครหรือเปล่า

         

          จากเดิมที่ถ้าฉันเจอคนปาดหน้า ปาดหน้ารถนะคะไม่ใช่หน้าเค๊ก ถ้าเดิม 10 ครั้ง จะต้องปากไวด่าอยู่ในรถครบสิบครั้งเลย แถมอาจจะมีตามไปปาดคืนสัก 5 ครั้ง ก็ลดลงเหลือสัก 5 ครั้งที่นึกด่าในใจ แต่ปาดคืนก็ไม่มีแล้ว คิดซะว่าเค้าอาจจะรีบมาก มีธุระเยอะ

 

          จากที่งกซะเต็มสิบ ก็งกเหลือสัก 6  อ่ายังงกอยู่ค่ะ ก็ค่อยๆขัดเกลากันไป

         

           ฉันยังคงพยายามที่จะฝึกตนอยู่ตลอดเวลาที่ระลึกได้ค่ะ เก็บสะสมแต้มไปเรื่อยๆ เพราะตัวอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีมาให้ดูอยู่เกือบทุกวัน ล่าสุดนี่ก็พี่หมอคนนึง แกวูบไปกะทันหัน มีอาการเจ็บหน้าอก ต้องปั๊มหัวใจกันเลยแหละค่ะ ฉันโทรไปถามแฟนแกซึ่งเป้นเพื่อนฉันเอง  ได้ความว่าหายดีแล้ว แต่ตอนที่เป็นตัวพี่เค้าเองยังคิดว่าเค้าคงจะตายหละในตอนนั้น  พี่เค้าพยายามปล่อยวางไม่ห่วงอะไร            ลองสมมติตัวเองว่าถ้าเป็นแบบพี่เค้าบ้าง......ฉันอยากจะเตรียมตัวแก่ เจ็บ ตาย อย่างมีสติค่ะ    

หมายเลขบันทึก: 75961เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2007 15:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน 2012 09:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สาธุ ฝึกไว้ครับ

มีสติดีกว่ามีสตางค์

ถ้ามีสติและสตางค์ก็จะดีที่สุด

แต่ถ้าให้เลือกระหว่างสติและสตางค์...จะเลือกอะไร?

    โห อาจารย์ขา  ต้องเลือกสติแน่นอนค่ะ มีสติเดี๋ยวก็มีสตางค์เอง 555

คุณหมอ เรื่องต่อไปขอให้เขียนเรื่องสติเดี๋ยวก็มีสตางค์เองได้มั้ยคะ.........

ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังค่ะ

ตัวเองกำลังคิดอยู่ว่าตัวเองมีอะไรที่เปลี่ยนไปอย่างคุณหมอหรือเปล่า ท่าทางจะไม่มีเลย จนเพื่อนๆแซวว่าทำไมเราไม่เห็นเปลี่ยนเลยน่ะ

      ค่ะ จะลองเขียนดูค่ะ  แต่มีสตางค์นี่แล้วแต่ปริมาณความพอของแต่ละคนอีกนะคะ บางคนมีห้าร้อยก็รวยแล้ว บางคนมีร้อยล้านยังคิดว่าตัวเองจนก็มี

      ตัวหมอเอง พอปฏิบัติธรรมไป ส่วนใหญ่เราจะรู้ว่าเราเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่นมองเราอาจเห้นไม่ชัดนัก ยกเว้นครูบาอาจารย์ของเราหนะคะ ฮิฮิ ท่านรู้โหม๊ด

พี่รออ่านหลายวันแล้วนะนี่   รีบๆ กลับมาเขียนต่อนะจ๊ะ 

คำเตือน: ควรพกถุงนำแข็งไว้ดับร้อน ปากร้อนประคบปาก ใจร้อนประคบใจ หิวนำก้อกินเยยยยยย

สวัสดีครับ ดีใจที่เจอเพื่อนร่วมวิชาชีพที่สนใจเหมือนๆกัน จริงๆก็มีอยู่นะครับแต่ไม่ได้แสดงตัวกัน ต่อไปน่าจะมีคนหาความชุกของคนกลุ่มนี้ในอาชีพเรานิ

อ่านblogแล้ว อดไม่ได้ที่ขอแสดงความเห็นสู่กันฟังหน่อยนะครับ

เพราะมีความเหมือนกันคือเป็นคนใจร้อนเหมือนกัน เมือ่ก่อนไม่รู้ตัว เลย

จนเจ้าหน้าที่ชอบมาเม้าท์ว่าเขียนหนังสือธรรมะ ไปวัดก็บ่อย ยังใจร้อนอยู่เลยไม่น่าเชื่อ

พอได้ยินเราก็หงุดหงิดเสริมไปอีกสมดังที่เขาว่า

เมื่อก่อนก็จะอ้างว่าอยู่รพ รัฐ คนไข้เยอะต้องทำทุกอย่างให้เสร็จในเวลาจำกัดทำให้ทุกอย่างพลอยรีบร้อนไปด้วย

แต่จริงๆ เพิ่งไปฟังครูบาอาจารย์เล่าถึงจริตนิสัย เรียกภาษาพระคือวาสนา ภาษาชาวบ้านน่าจะใช้ว่าสันดานเดิมนั่นเอง(ขออภัยไม่ได้หยาบนะ)

ท่านพูดถึงว่าจะมีลักษณะต่างๆคือ บางคนเป็นราคจริต บางคนเป็นโทสะจริต

ทุกคนจะเป็นส่วนผสมของหลายๆอันแต่จะdominate อะไรแล้วแต่คน

แต่ละอันมีทั้งข้อดีข้อเสีย คือไม่ใช่จะแย่ไปซะหมด เช่นราคจริตถ้าพอประมาณจะเป็นคนทำงานเรียบร้อย ใจเย็น แต่ถ้ามากไปก็จะหมกมุ่น โทสะจริตก็เช่นเดียวกัน มากไปก็ไม่ดี

คนราคจริตท่านว่าเดิมมากจากเทพครับ ส่วนพวกโทสจริตนั้นบางทีมาจากสัตว์ดุร้าย โฆ ฟังแล้วผมก็จิตตกทันที ชาตินี้เราดุแบบนี้สงสัยชาติก่อนเราคงเป็นเสือนิ

ท่านเปรียบเทียบได้ดีว่า เหมือนเอากล้วยหอมแช่ตู้เย็นไว้ พอเอากล้วยหอมออก ก็ยังมีกลิ่นกล้วยหอมเหลือติดตู้เย็นอยู่ดี

ผมจึงสบายใจขึ้นว่า 1. เราเลือกจริตตัวเองไม่ได้ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดเลย

2.กล้วยหอมเป็นแค่กลิ่นกล้วย ตัวกล้วยจริงๆไม่มีแล้วในชาตินี้

ทีนี้ ผมลองคิดเล่นๆ อยากเปลี่ยนกลิ่นกล้วยให้เป็นกลิ่นส้ม จะมีวิธีอะไรบ้างเอ่ย

(เหมือนกับเปลี่ยนตัวเราทีไม่ดี จับเอามาปั้นใหม่ให้กลายเป็นตัวที่ดี)

วิธีเปลี่ยนเป็นกลิ่นส้มที่พอคิดได้คือ 1.ใช้การคิดหรือการมองโลกแง่ดีไว้ ก็ดีนะครับ แต่ผมทดลองแล้ว จะได้ผลตอนเราอารมณ์ดีๆ หรือstressไม่เยอะเท่านั้น เวลาคนไข้เยอะๆ เหนื่อยมากๆ อะไรกันนักกันหนา ก็ไม่ได้ผลเหมียนเดิม ข้อเสียคือการคิดtake timeครับ ไม่ทันกินกับกิเลสที่เร็วกว่าจรวด

2.ข่มมันซะเลยด้วยสมถะเอาจิตไปแช่อยู่กับอะไรก็ได้ที่เป็นกุศล กดมันไว้ หายชั่วคราวเหมือนหินทับหญ้า ข้อเสียคือ temporary effect มีผลชั่วคราวหลังloading dose แต่level จะลดลงเรื่อยๆหลังที่ออกจากสมาธิมาอยู่กับโลกจริงที่เต็มไปด้วยกิเลสและสิ่งกระตุ้น..สุดท้ายก็เหมียนเดิม...

3.วิปัสสนาคือการสร้างเพิ่มspeedสติให้เร็วจนทันกิเลสนั่นแหละครับ โดยมีเทคนิคการฝึกแตกต่างกันไปแล้วแต่สำนัก เทคนิคไหนทำแล้วเกิดสติบ่อยก็ฝึกกันต่อไปครับ แต่end point น่าจะเหมือนกัน ในความเข้าใจของผม สติที่มีประสิทธิภาพสูงสุดต้องautorunครับต้องเกิดอัตโนมัติไม่งั้นไม่ทันกินกิเลสที่ละเอียดอีกเหมือนกัน

สติที่แท้จริงปั้นให้เกิด หรือจงใจให้เกิดไม่ได้ เพราะสติเป็นอนัตตา(uncontrollable)

ที่เราทำได้คือเหนี่ยวนำให้เกิดความจำได้ของสภาวะต่างๆที่เข้ามา เช่นเมื่อกี้เห็นตัวโกรธ

ก็หัดเห็นมันซ้ำๆไปเรื่อยๆ พอเห็นครั้งที่พันหรือหมื่นก็ชำนาญเพราะจำหน้าตาได้แล้ว โกรธแป๊บเดียวก็นึกขึ้นได้ว่าโกรธ เมือ่ไหร่ที่นึกได้เอง นั่นแหละคือสติตัวจริง

ไม่รู้ทำให้สับสนหรือเปล่า จริงๆก็เหมือนกัน แต่คนละฐานครับ ที่พูดนี้เป็นฐานจิต คือสายดูจิต

ถ้าดูกาย ก็ฝึกดูกายไปแล้วแต่ชอบ

ส่วนผมทำสายดูกายแบบเคลื่อนไหว และดูจิต จนสุดท้ายก็พบว่ามันบังคับไม่ได้ บางที่เค้าอยากดูกายก็ดู อยากดูจิตก็ดู ก็เลยปล่อยไปเพราะรู้สึกว่าเราบังคับจิตเราไม่ได้จริงๆ(absolutely uncontrollable)

สำหับผมทำ2อย่างจะเกื้อหนุนกัน ถ้าดูกายได้เร็ว ตั้งมั่น ดูจิตก็จะเร็วขึ้นด้วย สลับไปสลับมา(อันนี้คิดเอาเองนะ)(เป็น evidence ระดับ nonexpert opinion)

comment จน เขียนblogใหม่ได้แล้วเนี่ย

เมื่อไหร่เริ่มตั้งมั่น เห็นสภาวะต่างๆบ่อยขึ้น มันจะรู้สึกเหมือนกับเรามีเราอีกตัวอยู่ภายใน ที่เขาน่าจะเรียกว่าตัวผู้รู้

พอดีว่ายาวไปแล้ว

สุดท้ายผมก็เลยไม่พยายามเปลี่ยนกลิ่นกล้วยเป็นกลิ่นส้มแล้ว เพราะพระอาจารย์บอกในpointที่น่าสนใจว่า

1.ถ้าจิตเป็นกุศล แล้วรู้ว่าขณะนั้น เป็นกุศลได้A+ ครับ

2.ถ้าจิตเป็นอกุศล แล้วรู้ว่าเป็นอกุศลได้ B ครับ(โอ้โฮ ผิดคาดไหม นี่ขนาดเป็นจิตอกุศลนะ)

3.ต่อให้จิตเป็นกุศลแต่ไม่รู้ ว่ากุศล นั่นได้แค่C

4.จิตอกุศล และไม่รู้ด้วยนั่นF ครับผม

จิตเป็นกุศลหรือไม่ ควบคุมยากครับ เพราะเป็นไปตามเหตุต้นคือความคิดและวิบาก

ถ้าคิดดี เหตุตามคือจิตกุศล ถ้าคิดไม่ดีก็อกุศล ซึ่งความคิดเรานี่คุมยากครับ จะให้คิดดีตลอดนั้นยากส์ส์ส์...เพราะความคิดก็uncontrollable

อันที่สองคือไม่ได้ตัดกันที่กุศลหรือไม่ แต่ตัดกันที่รู้หรือไม่รู้ต่างหาก

คิดอย่างนี้สบายใจขึ้นเยอะ เพราะการดัดแปลงตัวเองเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ทำได้ก็คือฝืนๆชั่วคราว สุดท้ายก็กลับมาแย่เหมือนเดิม

เดี๋ยวนี้พอโกรธก็ดีใจเหมือนมีแบบฝึกหัดให้ทำ ตามรู้อย่างเดียว รู้บ้างหลุดบ้างช่างมัน อย่าไปหวังให้หายโกรธ ยิ่งคาดหวังยิ่งไม่หาย รู้แบบช่างหัวมัน

ถ้ารู้ถูกความคิดหรือความโกรธนั้นๆจะขาดไปเองโดยไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ

ยาวมากแล้วไปดีกว่า ผมแค่ฝึกเบื้องต้นเหมือนกันครับ รู้บ้างไม่รู้บ้าง เลยเล่าสู่กันฟัง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท