จากการตรวจสุขภาพเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลของเราประจำปี 2549 จำนวน 634 คน พบความเสี่ยงอันดับ 1 ได้แก่ เรื่องน้ำหนักเกินมาตรฐาน มีถึง 157 คน
โดยมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) 25-29.9 กก./ตรม. ถึงร้อยละ 73
และมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 กก./ตรม. ถึงร้อยละ 27
ซึ่งเราจะได้จัดทำโครงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการควบคุมน้ำหนักของเจ้าหน้าที่ ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ ถึงกรกฎาคม 2550 รายละเอียดจะนำมาเลาในโอกาสต่อไป
สำหรับวันนี้จะเล่าถึง ค่าดัชนีมวลกาย หรือ BMI
ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) คือค่าที่ได้จากการนำน้ำหนักตัวและ
ส่วนสูง มาคำนวณ เพื่อประเมินหาส่วนไขมันในร่างกาย ซึ่งค่า ดังกล่าวนิยมใช้ในการคำนวณอย่างแพร่หลาย เนื่องจากคำนวณง่าย และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ
ดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนักตัว (หน่วยกิโลกรัม) ความสูง2 (หน่วยเมตร2) เมื่อคำนวณแล้วท่านมีค่า BMI มากกว่า 25 ถือว่ามีน้ำหนักตัวมากเกิน (over-weight) และ ถ้ามีค่าBMI มากกว่า 30 ถือว่า "อ้วน" (obesity) นอกจากนี้มีการจำแนกประเภทดัชนีมวลกาย (BMI) ตามเกณฑ์ของ International Obesity Task Force (IOTF) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อ การเกิด
การเจ็บป่วยเมื่อมีค่า BMI ในระดับต่าง ๆ ดังตาราง
ประเภท |
ดัชนีมวลกาย (BMI) |
ความเสี่ยงต่อการเกิดการเจ็บป่วย(BMI) |
น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ |
น้อยกว่า 18.5 |
ต่ำ (เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ) |
น้ำหนักตัวปกติ |
18.5 - 24.9 |
ปกติ |
น้ำหนักตัวเกิน |
25-29.9 |
เพิ่มกว่าปกติ |
โรคอ้วนขั้นที่ 1 |
30-34.9 |
เพิ่มขึ้นอย่างมาก |
โรคอ้วนขั้นที่ 2 |
35-39.9 |
ต่ำ (เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ) |
โรคอ้วนขั้นที่ 3 |
40 ขึ้นไป |
เพิ่มขึ้นถึงขั้นรุนแรง |
จากตารางข้างต้นจะพบว่าผู้มีน้ำหนักตัวเกิน (ค่า BMI มากกว่า 25) และผู้ที่เป็นโรคอ้วน (ค่า BMI มากกว่า 30) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดการเจ็บป่วยอย่างมาก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือความอ้วนนั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิด และมีผลต่อระบบการทำงานในร่างกายหลายระบบ
ด้วยกัน ได้แก่
-ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งได้แก่ โรคหลอดเลือดและหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดโคโรนารี
-โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี (gallbladder disease)
-โรคเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง (cirrhosis)
-มะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ต่อมลูกหมาก มดลูก รังไข่ เต้านม ถุงน้ำดี ตับอ่อน
-โรคทางเดินหายใจและปอด หายใจลำบากขณะนอนหลับ นอนกรน (snoring) เพราะทางเดินหายใจเริ่มตีบตัน ร่างกายจะขาดออกซิเจน ทำให้ ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ ส่งผลให้ง่วงนอนในเวลากลางวันบางคนอาจเป็นมากขนาดหลับในขณะขับรถ จนเกิดอุบัติเหตุได้ -โรคเกี่ยวกับไต เช่น นิ่ว ไตวายจากความดันโลหิตสูง
-โรคกระดูกและข้อต่อ โรคข้อต่อเสื่อม (os-teoarthritis in joints) โดยเฉพาะบริเวณสะโพก หัวเข่า ข้อศอก
-โรคเก๊าท์ (gout)
-โรคเบาหวาน (diabetes mellitus)
-เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน (stroke)
-ซึมเศร้า (depression)
-เส้นเลือดขอด (varicose vein)
-เหงื่อออกมาก (sweating)
-การเป็นหมัน (infertility)จากการเสี่ยงต่อสุขภาพของโรคอ้วนที่กล่าวถึงข้างต้นอันมีมากมายหลายประการ จึงมีการศึกษาถึงอันตรายของโรคอ้วนถึงขนาดว่าคนอ้วนมีอัตราการเสียชีวิตแตกต่างจากคนรูปร่างปกติหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่าอัตราการเสียชีวิตของคนที่อ้วนมากมีสูงขึ้นถึง 2-12 เท่า ขึ้นกับอายุของแต่ละบุคคล แต่ถ้ากลุ่มประชากรที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินสามารถลด น้ำหนักได้เพียง 5-10 % ของน้ำหนักตัวเริ่มต้น ก็จะสามารถลดอัตราการพิการ และอัตราการตาย (morbidity and mortality rate) ได้ระดับหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมีความพอดี การมากหรือน้อยเกินไปอาจเกิดผลเสียได้มากกว่าผลดี "น้ำหนัก" ก็เช่นกัน ถ้ามากเกินไป "อ้วน" ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าสามารถลดความมากเกินไป ลงมาให้ใกล้พอดีได้ก็จะเกิดการลดอัตราการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
เอกสารอ้างอิง
1. Oranee Tangphao. Orlistat : A new antiobesity drug.Thai Joumal of Pharmacology. 2000; 22(1); 57-65.
2. James H. Zavoral. Treatment with orlistat reduces cardiovascular risk in obese patients.
Journal of Hypertension 1998; 16(2): 2013-2017.
3. วิมล พันธุ์เวทย์. Orlistat ทางเลือกใหม่ในการลดน้ำหนัก ศรีนครินทร วิโรฒเภสัชสาร
2542; 4(1): 74-91.
4. อารีย์ ขจรกิตติยุทธ. การควบคุมน้ำหนัก. ตากสินเวชสาร 2540; (1): 113-127.