คนเชื้อสายจีน ให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตมาก..พี่ชายใหญ่ของผมเป็นลูกคนที่ ๔ ของเตี่ยและแม่
ลูกคนโตเป็นผู้ชาย แต่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก ส่วน 2 คนถัดมาเป็นผู้หญิงทั้งคู่...บ้านผมส่วนมาก พี่น้องจะมีเป็นคู่ ๆ..อ้วน กับผอม เช่น
คู่ที่อยู่ติดกันอายุจะห่างกันประมาณ ๒ ปี...และจะห่างจากคู่อื่นประมาณ ๓ ปี
พี่ชายใหญ่ของผม...จะอยู่บ้านที่นครนายก กับ ยาย (อาม้า) และเรียนหนังสือที่นั่น...ส่วนแม่ย้ายตามเตี่ยมาอยู่ที่วัดตะเคียน ใกล้ๆ หัวลำโพง
พี่ชายของผมเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่ง...ได้ที่หนึ่งของโรงเรียนประจำจังหวัด..สมัยนั้นเรียกว่า โรงเรียนนครส่ำสงเคราะห์..ดังนั้นพี่ชายของผมจึงได้ทุนเรียนดีมาตลอด..ไม่ต้องเป็นภาระของเตี่ย..แม่ และอาม้าเลย..
พอจบม.๘ พี่ชายของผมก็สอบ ENTRANCE (สมัยนั้นเรียกแบบนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ) เข้ามหาวิทยาลัยได้ เข้าศึกษาที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย...เรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ (ความจริงสอบได้คณะแพทย์ศาสตร์ด้วย แต่ทำไมไม่เรียนก็ไม่ทราบได้...คงจะเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆด้วย)
เมื่อพี่ชายผมมาเรียนที่กรุงเทพฯ แม่ย้ายกลับไปอยู่บ้านนอกแล้ว พี่ชายผมจึงมาอยู่กับพี่สาวและพี่เขยที่ "สี่กั๊กพระยาศรี"
ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ได้ทุนเรียนดี จบแล้วก็ได้ไปทำงานที่ "สภาพัฒน์ฯ" ได้ทุนเรียนทั้งเมือง และเมืองนอก จนได้ปริญญาโท ๒ ใบ (เท่าที่ทราบ) และได้ทุนไปดูงานต่างประเทศบ่อยๆ
ช่วงผมเรียนชั้นมัธยมปลาย พี่ชายผมได้ไปทำงานที่จังหวัดยโสธร..กับดร.พรเทพ (อดีตผู้ว่าจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็น ผอ.NICE อยู่ที่ มน.ปัจจุบัน) พี่ชายผมเป็นรุ่นพี่ดร.พรเทพ จบแค่ปริญญาโทก็ได้รับเลือกมาอยู่ที่ยโสธร ทำโครงการพิเศษ...ได้เงินเดือน เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนับว่ามากในสมัยนั้น (ประมาณปี ๒๕๑๘-๒๕๒๐)
คนอื่นๆ หลายคน ที่จบสูงกว่าพี่ชายผม แต่ไม่ถูกคัดเลือก..ได้แต่มองด้วยความ.....
ไม่มีความเห็น