ช้างม้าเมียมิ่งแก้ว เงินทอง
ตัวมิตายจักปอง ย่อมได้
ชีวิตสิ่งเดียวของ หายาก
ใช่ประทีปเทียบได้ ดับแล้วจุดคืนฯ[i]
"เกิดมาทั้งที จงเอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที จงฝากดีเอาไว้” คือประโยคหนึ่งที่ได้ฟังเมื่อเข้ารับการอบรมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙ ครั้งแรกที่ได้ฟังก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะมันคือการฟังถ้อยคำที่ผู้พูดได้พูดให้ฟัง จากนั้นก็ได้ฟังบ่อยๆ จากความรู้กลายมาเป็นความคิด เมื่อนำมาไตร่ตรองก็เป็นแนวคิดสั้นๆ ที่สอนให้เรารู้จักใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ก่อนตาย
จริงอยู่ชีวิตของคนเมื่อถึงคราวอันควรก็ไปสู่ความตายทั้งนั้น ทำอย่างไรจะตายโดยไม่ตาย นักปราชญ์หลายท่านแม้ตายแล้วก็ยังไม่ตาย ชื่อยังคงอยู่ ทีนี้ถ้าเราต้องตาย ก็ควรเป็นการตายตามปกติ มิใช่ทำให้ตาย แม้ความตายจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ควรตายก่อนถึงวัยอันสมควร เพราะชีวิตไม่ใช่ดวงประทีป ที่เราดับมัน และจุดมันให้สว่างใหม่ได้
จากโคลงข้างต้น นัยเนื้อหาสอนให้เรารักษาชีวิตไว้ มิใช่ปล่อยปละละเลยชีวิตเหมือนของเล่น เราได้ชีวิตมาแล้วอย่าทำให้ชีวิตเป็นของเล่นที่เราจะทิ้งขว้างอย่างไรก็ได้ ปล่อยเปื้อนโคลนในหนองน้ำ หรือให้สกปรกด้วยของไม่สะอาดอื่นใด ยิ่งจิตวิญญาณด้วยแล้วยิ่งต้องพยายามชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ เพราะถ้าชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ย่อมหมายถึงการรักษากายและวาจาให้สะอาดด้วย เพราะกายและวาจาเป็นทางออกของจิตวิญญาณ
“รักษากายวาจาใจให้สะอาด ให้เหมือนหยาดน้ำหยดสุดสดใส
หยดน้ำหยาดกลั่นกรองออกจากใจ คือความชุ่มฉ่ำอำไพของยอดหญ้า
ต่างจากน้ำคลำข้นหม่นหมองไหม้ ป้ายเปรอะเปื้อนที่ใดให้เศษสา
เปื้อนรอบตัวมัวหมองเวทนา ชำระชะล้างนานามิหายไปฯ”เข้ามาอ่านค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดจาก ธรรมะหน้าเดียว เรื่องชีวิตไม่ใช่ประทีบค่ะ
เทียนใต้ ไม่ใช่ เทียบได้