เปิดโลกสองนี้ พวกเราปรับแนวทางใหม่ ให้บรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ทั้งหลายได้เดินทางพร้อมกันเป็นคณะ นั่งรถคันเดียวกันจะได้สังสรรค์กัน การเดินทางครั้งนี้ การบรรเลงดนตรีและหมอลำแบบไม่ไล่ไม่เลิกได้เริ่มต้นขึ้น เล่นกันสนุกสนานตามเรื่องค่อนข้างจะทุลักทุเลเพราะเครื่องเสียงในรถไม่อำนวย แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อ
เส้นทางที่พวกเราเลือกคือ สวนพุทธเกษตร ของพ่อหลวย แก้วคง กลุ่มของจารย์หนอมและลุงชู สิทธิจักร ที่ไพศาลี แล้วต่อไปที่สวนโบราณคลองกระจง อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ต่อมาแวะที่กลุ่มควายไทย ที่ภูเวียง แล้วกลับถึงบ้าน
พบพ่อหลวยก็เหมือนได้พบพระ เพราะท่านเมตตา ใจดี อธิบายการฟันฝ่าของท่านให้ฟังในท่ามกลางเหล่าทหารสู้ข้าศึกของท่าน ซึ่งได้แก่ด่านไม้ไผ่ ด่านปลา ด่านกล้วย ด่านข้าว สารพัดด่าน
พอถึงกลุ่มจารย์หนอม ตอนที่แลกเปลี่ยนกันตอนเย็นหลังกินข้าวแล้ว ลุงชู ได้รู้เรื่องพวกเราแล้ว ท่านปรารภว่า
น่าเศร้ามาก พวกลูกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ถึงไม่รู้จักการสร้างตัวเอง การพึ่งตนเอง พวกพ่อพากันทำกันมานับสิบกว่าปีแล้ว พวกลูกมัวไปทำอะไรล่าช้าตรงไหนหนอ กลับไปนี่ ขอให้รีบเร่งเลยนะ
พวกเรายังคงใช้แบบแผนแบบที่ทำกันที่บุรีรัมย์คือ การพักค้างคืน จะให้สมาชิกได้กระจายกันพักกับชาวบ้านในพื้นที่ดูงาน จะได้มีโอกาสได้คุย ได้แลกเปลี่ยน และรุ่งเช้าถ้าเวลาอำนวยยังอาจได้ไปดูไร่นาของฝ่ายเจ้าบ้านด้วย
น้องนิ่ม คนที่ติดต่อกลุ่มที่คลองกระจง สุโขทัยให้ เมื่อรู้รายละเอียดและความต้องการของเราแล้วก็อุทาน
“ ได้ไงล่ะพี่ คนทางนี้เขาไม่ให้พักที่บ้านของเขาง่าย ๆ นะ ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนน่ะ “
ยังงั้นหรือ ตกลงพวกเราก็เลยพักที่วัดในหมู่บ้านซึ่งใหญ่โตมโหฬารพอ ๆ กับความยิ่งใหญ่ของสวนโบราณเลยทีเดียว
บ่าย ๆ นั้นพอพวกเราไปถึงคลองกระจงไปพบกับพี่ขยาย หัวแรงใหญ่ของกลุ่มแม่บ้านที่นั่น พี่เขาก็บอกให้พวกเราเดินเที่ยวในสวนตามสบาย อยากกินอะไรให้เก็บกินให้อิ่มเลย เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีรั้วบ้าน ไม่มีรั้วสวน มันต่อเนื่องกันไปหมดเดินทะลุถึงกัน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ผลนานาชนิด กระท้อน มะยงชิด มะปราง พุทรา ละมุด ส้มโอ กล้วย ฯลฯ แม่กุ้ม ที่นาคำกลางอธิบายว่า
“.....เหมือนที่ไปเห็นที่สุโขทัย เดินลอดไปใต้ต้นไม้ ไม่เห็นตะวันเลย ต้นไม้เยอะ มีเหมิดคุหมาก มันเป็นแถวเบียดกัน เฮาเดินไปไม่ได้ต้องแคงคีงไป ต้นไม้มันหลาย ต้นมันจอดกันเลย เวลาในใหญ่เป็นพุ่มเป็นเครือแล้วเฮาได้ลอดไป “
คืนนั้นหลังอาหารเย็น เราก็สังสรรค์กัน สามีพี่ขยายเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็มาต้อนรับด้วย ชาวบ้านเราก็แสดงเต็มที่ เล่นพิณ แคน ขับหมอลำ ฟ้อนกันสนุก ทั้งเจ้าภาพและพวกเรา ชาวคลองกระจงก็ดวลเพลงไทยสากลรุ่นโบราณ สู้กับพวกเราขับลำเต้ย ลำเดิน ม่วนหลาย เจ้าภาพสนุกมากจนขึ้นไปขนเอากลองชุด เอาเครื่องเสียงที่มีอยู่บนบ้านลงมาเล่นกับพวกเรา คืนนั้นพวกเขาแทบไม่อยากให้หยุด แต่เราก็ไม่ไหว ตอนนั้นมันไหวแต่พรุ่งนี้เช้ามันจะแย่ ต้องได้ตัดใจ ชาวคลองกระจงแห่ตามไปส่งกันถึงวัด คุยกันอีกพักหนึ่ง เขาบอกว่า คณะต่างๆ ที่มาดูงานไม่เหมือนคณะพวกเรา แล้วก็ว่า น่าจะพักกับพวกเขาที่บ้านเขาเลยจะได้ร้องเพลง สนุกกันให้นานกว่านี้ !!!!!! ดนตรีมีพลังจริง ๆ
วันต่อมากว่าจะรอนแรมถึงบ้านควายไทยที่ภูเวียง ก็เกือบสองทุ่ม แล้ว อ้ายพัฒน์บอกว่ารอตั้งแต่ห้าโมงเย็น ชาวบ้านที่นั่นก็ไม่ย่อท้อรอพวกเรา หลังกินข้าวเราก็สังสรรค์กัน เป็นลาวด้วยกัน ฟังแคน พิณเดียวกัน
คืนนี้พอหมอลำวิเชียรของเรา ซึ่งถนัดกลอนลำทำนองอุบล ขับลำ โอละหนอ.....เท่านั้นแหละ ชาวภูเวียงถึงกับร้อง ปิ๊บ แล้วถลันออกมาฟ้อนด้วยความม่วนในใจจนเก็บไว้ไม่ได้ ดิฉันเองก็เพิ่งเคยได้ยินเสียงร้อง ปิ๊บ อันแสดงความพึงพอใจจนระงับไม่อยู่ ที่เกิดในสถานการณ์จริงวันนี้เอง
จากนั้นก็พากันไปดูโรงปุ๋ยอัดเม็ด กันในความมืดเปิดไฟดู อำลากันคืนนั้นก็สี่ทุ่มกว่า และกว่าจะถึงนครพนมก็ปาเข้าไปตีห้า สมาชิกเราบางส่วนร้องเพลงกันจนมาถึงบ้าน ....พันธุ์อึดกันถ้วนทั่วทุกคน
หากสนใจจะเข้าไปเที่ยวชมสวน สามารถติดต่อใครได้คะ และเดินทางไปอย่างไร