เป็นการตั้งคำถามจากข้อสังเกตในการถ่ายโอนสัดส่วนผลผลิตในปี 1960 ที่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมีสัดส่วน 30% ลดเหลือ 4% ในปี 1998 ลดลง 26% ขณะที่ ผลผลิตด้านการบริการเพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 1960 เป็น 62% ในปี 1998 เพิ่มขึ้น 24% โดยสัดส่วนผลผลิตด้านอุตสาหกรรมนั้นยังคงที่ในระดับ 32%
ในทางตรรกะ (Logic) ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ว่าประชากรในโลกจะกินน้อยลง เพราะตัวเลขการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าจำนวนคนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในแต่ละปี การบริโภคอาหารย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ..... แล้วทำไมสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรซึ่งเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงประชากรโลกจึงได้ลดลงอย่างน่าตกใจเมื่อเทียบกับผลผลิตอื่นๆ..... ค่อนข้างจะสวนทางกับความต้องการบริโภคที่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ก็เลยมานั่งวิเคราะห์ตัวเลขที่ Juan Enriquez ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแนวโน้มอนาคต...ไม่แน่ใจค่ะว่าตัวเลขในเอกสารที่ได้มานั้นข้อมูลถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เพราะไม่มีหนังสืออยู่ในมือ แต่จากตัวเลขข้อมูลที่ได้มา ไม่ได้มีการระบุถึงมูลค่าโดยรวมของผลผลิตในโลก (Global Production) ของปี 1960 และ 1998 ว่ามีเท่าใด มีเพียงการเปรียบเทียบสัดส่วนเป็นร้อยละเท่านั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่ามูลค่าของผลผลิตด้านการเกษตรนั้นเพิ่มขึ้นตามความต้องการบริโภค แต่การขยายตัวของอุปสงค์ (Demand) ในผลผลิตด้านอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์ด้านบริการผลักดันให้ปริมาณการผลิตสินค้าประเภทดังกล่าวเติบโตขึ้นสูงมากจนทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรดูน้อยไปถนัดตาเมื่อถูกนำมาเปรียบเทียบกัน
หรืออาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิต (life style) ของคน ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นตามพัฒนาการของเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรที่ไม่แปรรูป (Agriculture Product) มีน้อยลงส่งผลให้ผลผลิตประเภทนี้ออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่สินค้าเกษตรที่ถูกแปรรูปด้วยระบบอุตสาหกรรม (Manufacturing) จะเป็นที่ต้องการมากกว่าเพราะเพิ่มความสะดวกสบาย มีการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับรูปแบบชีวิตของคนได้หลากหลาย ส่วนความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านการบริการ(Service) นั้นเติบโตแบบก้าวกระโดดตามมาตรฐานชีวิตของคนที่เพิ่มสูงขึ้นตามระดับของการพัฒนาประเทศซึ่งสืบเนื่องมาจากแรงผลักของการพัฒนาเทคโนโลยี
ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรไม่ได้ตกอับ เพราะยังคงมีความสำคัญอยู่ในการดำรงชีวิตของประชากรโลก เพียงแต่แรงผลักดันของเทคโนโลยี และมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป ทำให้รูปแบบของความต้องการผลผลิตเปลี่ยนไป สินค้าเกษตรแบบดั้งเดิมที่ไม่ผ่านการแปรรูปไม่ค่อยเป็นที่ต้องการเพราะ “ไม่สะดวก” ดังนั้น โจทย์ของบรรดาผู้ผลิตสินค้าเกษตรจึงน่าจะอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะ “สะดวก” (Convenience) สำหรับผู้บริโภค
ทั้งนี้แนวทางพัฒนาก็คงจะวนกลับมาที่ประเด็นของ Knowledge Economy ที่จะต้องมีการสร้างเสริมความรู้ให้เกิดขึ้นและกระจายตัวทุกระดับของประชากรในประเทศ เพราะการสั่งสมความรู้จะทำให้ประเทศร่ำรวยอย่างยั่งยืน ( Consistently richer) จากการที่รู้จักใช้ทรัพยากรการผลิตอย่างคุ้มค่า ถูกวิธี
Juan Enriquez ได้ยกตัวอย่างประเทศที่มีปริมาณทรัพยากรธรรมชาติน้อย แต่มีฐานะร่ำรวย อาทิ ไต้หวัน อิสราเอล เนเธอแลนด์ ฮ่องกง เดนมาร์ค สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศอีกกลุ่มหนึ่งมีทรัพยากรมาก แต่กลับยากจน อาทิ คองโก ไนจีเรีย แองโกลล่า อินเดีย โคลัมเบีย เมกซิโก
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนักพัฒนาประเทศกลุ่มที่มีทรัพยากรมากนั้นใช้ “ตรรกะทางความคิด” ที่มุ่งแต่จะนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรในประเทศที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา “การมุ่งแต่คิดว่าจะใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไร การทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ประเทศยากจนลง แนวทางการพัฒนาที่ถูกต้องควรมุ่งให้การศึกษาแก่ประชากรมากกว่า" (Juan Enriques)
ตัวอย่างที่ Enriquez หยิบยกขึ้นมา คงเป็นข้อเตือนใจได้ดีสำหรับประเทศไทย ในการเลือกใช้แนวนโยบายพัฒนาให้เหมาะสม เพราะที่ผ่านมาเราได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไปอย่างฟุ่มเฟือย เพื่อแลกกับฐานะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้าเกษตรของเราที่ได้กลับคืนมานั้นถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย จากมุมมองที่ว่าเราจะผลิตสินค้าเกษตรอย่างไรให้ได้ปริมาณมาก ๆ ผลักดันสู่การส่งออก อาจต้องหันมาพิจารณาการพัฒนาองค์ความรู้ในการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้รูปแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในยุคของ Knowledge Economy น่าจะเหมาะสมกว่า
**********************************************************
ไม่มีความเห็น