เหตุการณ์ที่นำมาอึ้งกัน เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา..มีคุณแม่ท่านหนึ่งนำลูกมารับวัคซีนตามเกณฑ์ที่แผนกตรวจสุขภาพเด็กดีของศูนย์อนามัยที่ 8 ป้าๆที่คุยกันกับคุณแม่พบว่าน้องยังต้องใช้หลอดฉีดยา (syringe) ป้อนน้ำทั้งที่โตแล้ว จึงส่งปรึกษานักโภชนาการ..น้องวันเพ็ญ สุทธิโกมินทร์ หนึ่งในทีมงานโรงเรียนพ่อแม่ของเรา เพื่อค้นหาสาเหตุ คุยไปคุยมาจนพบว่า...สิ่งที่เด็กเป็นแบบนี้เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณแม่ ไม่ใช่เด็กทำเองไม่ได้ เพราะดูจากเด็กแล้วป็นเด็กฉลาด เนื่องด้วยคุณแม่เป็นคุณครูดีเด่น ทำงานอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์กว่าจะได้กลับบ้านก็ดึกดื่น ลูกได้ให้แม่บ้านเลี้ยง ไม่มีเวลาที่เสียเวลามาดูแลลูกในส่วนนี้ นักโภชนาการเราก็พยายามชักจูง โน้มน้าวให้คุณแม่คิด แต่แล้วภาพรวมก็ดูปฏิเสธคำแนะนำทุกอย่าง เนื่องด้วย..ไม่มีเวลา งานยุ่ง
นักโภชนาการของเราวันนั้นเลยเดินหน้าละโหยมาทานข้าวกลางวันอย่างรู้สึกสงสารเด็กคนนี้...เสียดายอนาคตดีๆที่ควรจะได้ ถ้าคุณแม่คิดซักนิดเดียวว่า
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตความเป็นแม่...เงิน ชื่อเสียง รางวัล หรือลูก
เวลาวันๆหนึ่งของทุกคนมีเท่ากัน 24 ชั่วโมง คุณแบ่งให้กับอะไรบ้าง...งาน พักผ่อน ส่วนตัว ครอบครัว ลูก
เราไม่นึกว่าสิ่งที่เราได้ยิน ได้ฟังมาจากสังคมเมือง จะเริ่มมาเกิดขึ้นในสังคมชนบทอย่างบ้านเราแล้ว...ป้องกันอย่างไรกันดี?
แปลกใจ และเห็นใจค่ะที่ต้องเจอปัญหาอย่างนี้ ป้าเจี๊ยบเลยได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า พ่อแม่ดีเด่นเป็นครูดีเด่นได้ แต่ครูดีเด่นเป็นพ่อแม่ดีเด่นไม่ได้ เฮ้อ!
สร้างเขามา ก็ต้องดูแลและให้สิทธิเด็กตามที่เขาพึงได้รับ
การไม่รับผิดชอบแบบนั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ น่าหดหู่
คุณครูดีเด่น ...นวัตกรรมการสร้างคนหลอกๆ บางทีก็ทำร้ายคนที่รู้ไม่เท่าทัน ได้หลงไหลได้ปลื้ม ดีเด่นอย่างไรก็ไม่รู้ ดีแล้วมีความรู้และปัญญาในการจัดการชีวิตของตนเองหรือไม่..ก็เป็นสิ่งควรคิด
มองอีกมุมก็น่าสงสารผู้ปกครองที่เป็นคุณครูท่านนี้เช่นกันครับ ที่ถูกเครื่องเกียรติยศฉาบจนไม่มีเหลือพอที่จะเห็นตัวตน...เป็นคุณครูที่ดีเด่นในงานแต่ชีวิตครอบครัวกลับล้มเหลว
การปฏิเสธแบบฉับพลันของคุณครูอาจเป็นการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งของคนที่มีความมั่นใจสูง
ขอให้คนทำงานอย่าเพิ่งท้อ ครับ ใจเย็นอธิบาย และอธิบายกันต่อไป...คงมีผลบ้างในทางที่ดี
ทำเรื่องเล็กๆที่ท้าทาย นี่ให้สำเร็จเถอะครับ...ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าท้าทายสำหรับคนปฏิบัติงานด้วยครับ
ในมุมกลับกัน หนิงนึกถึงโฆษณาทางทีวี ชิ้นนึงที่ว่า... ทำไมพ่อไม่ไปหาหมอ
นั่นสินะ ถ้าคนเราต้องฝึกเรื่องการให้ความสำคัญ (set piority) แล้วหละค่ะ ไม่จำเป็นว่า เรื่องงานต้องมาก่อนเสมอไป และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนติดครอบครัวแจ แต่เราควรจะจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังในแต่ละสถานการณ์ใช่ไหมคะ
ตรงนี้เองล่ะค่ะ ที่ทำให้ทุกวันนี้รู้สึกสับสน
ว่าเราทุ่มเท ทำงานทุกวันนี้เพื่ออะไรกันแน่ ?
ทำงานเพื่อชีวิต หรือว่า มีชีวิตอยู่เพื่องาน จนลืมตัวตนและคนที่เรารัก
หน่วยงาน ยกย่องคนทุ่มเท เชิดชูเป็นบุคลากรตัวอย่าง แต่จะตำหนิคนที่ เห็นแก่ครอบครัวเป็นหลัก เห็นแก่ตัว
เป็นคนดีขององค์กร แต่บางทีก็ต้องแลกด้วย การเป็นลูกที่ไม่สนใจพ่อแม่ (เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้าน) เป็นพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูก (เพราะมัวแต่ทำงาน)
บางคนคิดว่า ทำงานเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศ ..ทั้งนี้ก็เพื่อการมีชีวิตที่ดีขึ้น มีหน้าตามาเชิดชูวงศ์ตระกูล มีเงินทองมาให้ครอบครัว เป็นทุนของลูกๆในอนาคต
แต่กว่าจะถึงวันนั้น บางทีเราก็ลืมไปว่า เราได้สูญเสียอะไรไปแล้วมากมายเบื้องหลัง ความรักความผูกพันที่จางหายไปกับวันเวลา ..เมื่อหันหลังไปมอง บางทีก็สายเกินแก้ สูญหายไปเกินกว่าจะไขว่คว้ากลับคืนมา
เคยมีคนไข้เบาหวานคนหนึ่ง นอนร้องไห้ ..เขาไม่ได้เสียใจที่ตนเองถูกตัดขาพิการ แต่เขาเสียดายกับวันเวลาที่ผ่านมา ที่เขาพยายามทำงานตัวเป็นเกลียว ไม่เคยนึกหาความสุขใส่ตัว หรือให้กับคนรอบข้าง พยายามแต่ หาเงินมากมาย จนในที่สุด ได้สร้างบ้านหลังใหญ่ราคาหลายล้าน สุดท้ายเพิ่งถอยรถเบนซ์คันหรูป้ายออกมา แต่ไม่ถึงเดือน ก็ต้องเข้าโรงพยาบาล โดนตัดขาเพราะแผลเบาหวาน
เขาเสียใจที่มีรถดีๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ มีเงินก็ไม่มีโอกาสได้เที่ยว มีลูกหลายคนแต่เพราะมัวทำแต่งาน ไม่ค่อยได้มีความผูกพัน พอล้มป่วย ลูกๆก็เอาเงินของแก ไปจ้างพี่เลี้ยง ให้มาอยู่เฝ้า เนื่องจากลูกๆก็ถูกปลูกฝังค่านิยมการทำงาน มีความคิดว่าเวลาคืองาน งานคือเงิน มิสู้เอาเงินมาจ้างคนมาดูแลพ่อแม่ดีกว่า ที่จะเอาเวลามาทำตรงนี้เอง
เศร้าใจค่ะ T_T
ทุกวันนี้.. จึงพยายามที่จะอยู่ทางสายกลาง ทำงานให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ถึงกับทุ่มเทจนหมดตัวไปทั้งชีวิต หากแต่แบ่งเวลาส่วนหนึ่ง สำหรับตัวเอง สำหรับความฝัน และสิ่งที่ตนเองอยากจะทำค่ะ
เพื่อว่าสักวันหนึ่ง ที่เกิดอะไรขึ้นอย่างกระทันหัน ต้องจากโลกนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จะได้ไม่รู้สึกเสียใจค่ะ