หน้าแรก
สมาชิก
หนูนา
สมุด
สุขภาพที่ดี
ปวดศีรษะทำอย่างไร
หนูนา
พัชรินทร์ แพงภูงา
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ปวดศีรษะทำอย่างไร
วันนี้รู้สึกว่าสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการปวดและมึนศีรษะ บางครั้งคลื่นไส้ (ไม่ได้แพ้ท้องนะคะ)จึงสนใจที่จะรู้ถึงที่มาที่ไป หาสาเหตุของการปวด และวิธีแก้ไข เชื่อว่าทุกท่านคงเคยปวดศีรษะกันทุกคน แต่จะปวดแบบไหน มากน้อยต่างกันไป หากสนใจลองเข้ามาอ่านดูนะคะ ปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากที่สุด ทุกคนเคยปวดศีรษะมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งอาจมีความรุนแรงเยงเล็กน้อย ไม่ทำให้ผู้ที่มีอาการปวดเดือดร้อนแต่ประการใด จนถึงมีอาการปวดมากที่สุดจนทุรนทุราย แต่ในบางครั้งอาการปวดศีรษะไม่ว่าจะมีอาการปวดรุนแรงมากน้อยเพียงใดก็ตาม อาจเป็นสาเหตุที่รุนแรงและมีอันตรายได้ สาเหตุของการปวดศีรษะมีได้หลายประการ 1. มีความผิดปกติในเนื้อสมอง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองโป่งพอง 2. มีความผิดปกตินอกเนื้อสมอง เช่น โพรงจมูกอักเสบ, หูอักเสบ, สายตาผิดปกติ 3. มีความตึงเครียดทางอารมณ์ ส่วนการรักษานั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของการปวด อาการปวดศีรษะที่พบบ่อยและควรทราบเพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องคือ 1. ปวดศีรษะไมเกรน (Headaches, Migrain) มีลักษณะเฉพาะคือปวดศีรษะข้างเดียวอย่าง รุนแรง มักจะเริ่มปวดรอบ ๆ ลูกตาก่อน (ส่วนน้อยปวดทั้งสองข้างพร้อมกัน) ลักษณะการปวดจะปวดตุบ ๆ แปลบ ๆ เป็นระยะ ๆ ก่อนเกิดอาการปวดจะมีอาการนำมาก่อนประมาณ 10 - 30 นาที เช่น คลื่นไส้ อาเจียน งุนงง วิงเวียน เห็นภาพซ้อน ตาไวต่อแสง พูดลำบาก (บางครั้งการอาเจียนทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น) สาเหตุการปวดศีรษะแบบไมเกรนยังไม่ทราบแน่นอน มีผู้ศึกษาพบว่าเกิดจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของเส้นเลือดที่บริเวณหนังศีรษะ ทำให้มีการหดตัวและขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณดังกล่าว จึงเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นและพบว่า 70 % ของผู้ที่ปวดศีรษะไมเกรนเป็นหญิง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนและการมีประจำเดือน ปัจจัยอื่น ๆ กรรมพันธุ์มีความสำคัญมาก การมีประวัติปวดศีรษะในครอบครัว อาหารที่มีสารปรุงแต่งของผงชูรส สารกันบูด อาหารรมควัน ตับไก่ พืชตระกูลส้ม มะนาว ชอคโกแลต แนยแข็ง ไวด์แดง กลิ่นคาว ๆ แสงจ้า ๆ และเสียงดัง เป็นต้น ระยะเวลาการปวดศีรษะชนิดนี้ อาจเป็นนาทีและอาจจะนานเป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ได้ การรักษา อาการปวดศีรษะไมเกรนไม่เป็นอันตรายมากนัก อาจหายได้เอง แต่อาจทำให้คุณภาพชีวิตเปลี่ยนแปลงไป หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองขาดเลือด (Stroke) ได้ 1. การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือ การหาสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุนั้น ๆ 2. การเริ่มรักษาเมื่อเริ่มมีอาการนำมาของการปวด โดย - รับประทานยาแก้ปวดแอสไพรินหรือพาราเซตามอล 2 เม็ด โคลา กาแฟ - นอนพักในที่มืด ๆ เงียบ ๆ ประคบด้วยความเย็นที่หน้าผาก 3. อาการปวดเกิดอยู่นานควรพบแพทย์ แพทย์อาจให้ยาป้องกันอาการปวดให้ 4. อาจใช้วิธีไม่รับประทานยา เช่น การผ่อนคลอาย ทำสมาธิ โยคะ ฝึกใช้ความคิดเชิงบวก ท่าน จะหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะไมเกรนได้อย่างไร 1. สังเกตเรื่องอาหาร สิ่งแวดล้อม อารมณ์ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวด 2. เรียนรู้การแก้ไขความโกรธ ความเครียด 3. เรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลายที่จะช่วยขจัดความรุนแรงของการปวด 4. กำหนดการรับประทานอาหาร การนอน การออกกำลังกายให้เหมาะสม (เพื่อเกิดความสมดุลย์ของร่างกาย) 5. ปวดนาน ๆ ควรพบแพทย์ 2. ปวดศีรษะจากอารมณ์และความเครียด (Headeches, tension) อาจเกิดจากการใช้ความคิด มีปัญหาซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เช่น ปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ เพื่อนร่วมงาน ปัญหาทางเพศ การทำงาน การสอน ลักษณะการปวด จะปวดตื้อ ๆ เหมือนมีผ้ามาบีบรัด หรือมีผ้ามาโพกรอบศีรษะ ขมับท้ายทอย รอบ ๆ กระบอกตา อาจจะปวดตรงด้านหน้าลงมาตามกล้ามเนื้อท้ายทอย อาการปวดมักจะเป็นตอนบ่าย หลังจากทำงานมาเป็นเวลานาน ๆ ผู้ที่ปวดศีรษะประเภทนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความมุ่งหวังในความสำเร็จสูง ขี้อาย กลัว เป็นต้น คำแนะนำ 1. พยายามหาสาเหตุของกาปวดศีรษะและหลีกเลี่ยงสาเหตุนั้น ๆ 2. รับประทานยาแก้ปวดหรือแอสไพรินหรือพาราเซตามอล ถ้าไม่หายรับแระทานซ้ำทุก 4 - 6 ชั่วโมง 3. ลดความเคร่งเครียดในการทำงานและพักผ่อนให้เพียงพอ 4. ตรวจสอบสายตา แว่นตา เพราะอาจเกิดจากตาเพลียได้ 5. ลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการออกกำลังกายทุกวัน เช่น ว่ายน้ำ วิ่งเหยาะ ๆ เดินเร็ว ผ่อนคลายโดยการฟังเพลง การนวดต้นคออย่างถูกวิธี กดบริเวณขมับ ทำโยคะและสมาธิ 6. ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเอง อาจจะขอคำปรึกษาจากผู้ให้การปรึกษา เช่น พยาบาล นักจิตวิทยา จิตแพทย์ เพื่อระบายความไม่สบายใจ และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข 7. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นบ่อย ๆ แพทย์อาจให้ยากล่อมประสาท ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดลง จะหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะจากความเครียดได้อย่างไร 1. ให้เวลาในการพักผ่อนและคลายเครียดในแต่ละวัน 2. มีเวลาเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง สร้างพลัง ลดความตึงเครียด โดยการออกกำลังกาย 3. พยายามหาสาเหตุและขจัดสาเหตุของความเครียดออกจากการดำเนินชีวิต 4. เปลี่ยนงาน (อาชีพ) หรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิต หรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด 3. การปวดศีรษะรุนแรงแบบเกาะกลุ่ม (Headeches, cluster) เป็นอาการปวดที่รุนแรงจะปวดข้างเดียวหลังลูกตา อาการปวดจะปวดนานเป็นวัน เป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือนหรือนานกว่านี้ หรืออาจเกิดอาการปวด 10 ครั้ง ใน 1 วันก็ได้ มักเกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิงพบได้ในช่วงอายุ 20 - 30 ปี อาการปวดบางครั้งอาจเกิดขึ้นกลางดึกได้ แพทย์บางท่านเชื่อว่าการปวดศีรษะชนิดนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดความดันเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ แผลในกระเพาะอาหาร เบาหวาน สาเหตุ ของการปวดเกิดจากการหดตัวขยายตัวของเส้นเลือดบริเวณหนังศีรษะคล้ายปวดไมเกรน แต่แตกต่างในระยะเวลาและความถี่ บางรายเชื่อว่าเกิดจากระบบประสาท และมีความเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่มากหรือดื่มเหล้าจัด การวินิจฉัย จากประวัติเอ็กซเรย์สมอง (CT. MRI) คำแนะนำ 1. บันทึกอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุที่อาจเกิดจากอาหาร เครื่องดื่มและกิจกรรมในชั่วโมงที่มีอาการปวดศีรษะ 2. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว 3. การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และนิสัยการนอน จะช่วยควบคุมการปวดศีรษะได้ 4. การรับประทานยาแก้ปวดอาจช่วยได้บ้าง สิ่งที่จะช่วยได้ดีที่สุดคือ การป้องกัน 5. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพราะจะได้ยารับประทานอย่างต่อเนื่องหรืออาการปวดนั้นอาจมีโรคอื่น ๆ เช่น ต้อหิน เป็นต้น 4. ปวดศีรษะจากความดันเลือดสูง ลักษณะการปวดจะปวดแบบมึน ๆ ตื้อ ๆ ตลอดเวลา จะเป็นมากเวลาตื่นนอนกลางวัน อาการปวดจะทุเลาลงหรือปวดขณะไอ จาม เบ่งอุจจาระ เพราะจะทำให้ความดันในกระโหลกศีรษะสูงขึ้นชั่วคราว ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาเจียนร่วมด้วย อาจมีตามัวก่อนวัย ตำแหน่งที่ปวดคือบริเวณท้ายทอย คำแนะนำ 1. ไปรับการตรวจจากแพทย์ รับประทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ มาตามนัดทุกครั้ง 2. พยายามคุมน้ำหนัก ลดอาหารเค็ม และอาหารที่ทำให้อ้วน 3. ทำจิตใจให้สบายและพักผ่อนให้เพียงพอ 5. ปวดศีรษะเนื่องจากสายตาผิดปกติ ลักษณะการปวดจะปวดมากเวลาใช้สายตามองไกลหรือมองใกล้ไม่ชัด ปวดข้างเดียวตื้อ ๆ รุนแรง ตาแดง ตาพร่ามัว ตำแหน่งที่ปวดคือ บริเวณกระบอกตา หน้าผาก และขมับ เกิดจากการใช้สายตามากเกินไป เช่น อ่านหนังสือนาน ๆ สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ต้อหิน คำแนะนำ ควรไปรับการตรวจจากจักษุแพทย์ 6. ปวดศีรษะเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น จากไข้หวัด โพรงจมูกอักเสบ เป็นฝีที่รากฟัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ สมองถูกกระทบกระเทือน คำแนะนำ ปวดศีรษะจากสาเหตุดังกล่าว ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์และรับคำแนะนำเป็นระยะ ๆ ไป ปัญหาการปวดศีรษะในประชากรบางกลุ่ม อาการปวดศีรษะในผู้สูงอายุ ส่วนน้อยที่จะเกิดจากปัญหาเส้นเลือด การหดตัวของกล้ามเนื้อและไมเกรน ส่วนใหญ่จะมีเรื่องของอาการมึนงง ซึ่งบางครั้งอาจจะให้ประวัติสับสนกับอาการปวดศีรษะ อาการเหล่านี้ในผู้สูงอายุมีสาเหตุมากมาย เช่น เรื่องของความดันเลือดต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบถ การทรงตัวไม่ดีเนื่องจากโรคของหู ตา หรือประสาทรับความรู้สึกเสียไป นอกจากนี้ผู้สูงอายุอาจมีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมของกระดูกบริเวณต้นคอเพิ่มขึ้น อาการปวดศีรษะในหญิงจะค่อนข้างสูง โดยเฉพาะไมเกรนมักเกิดร่วมกับการมีประจำเดือนหรือการหมดประจำเดือนได้ ส่วนรายที่ตั้งครรภ์อาการปวดศีรษะเพราะไมเกรนดีขึ้นเมื่อตั้งครรภ์เกิน 3 เดือนไปแล้ว อย่างไรก็ตามหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการปวดศีรษะควรพบแพทย์เพราะมีโรคทำให้ปวดศีรษะกำเริบขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ อาการปวดศีรษะในเด็กถ้าอาการปวดศีรษะเป็นเรื้อรังและเป็นเรื่อย ๆ ส่วนมากจะมาจากความผิดปกติของเนื้อสมอง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เนื้องอกต่าง ๆ ส่วนเด็กที่ปวดศีรษะเป็น ๆ หาย ๆ อาจเกิดจากไมเกรนได้ เอกสารอ้างอิง กัมมันต์ พันธุมจินดา. การรักษาอาการปวดศีรษะทางอายุรกรรม. คลินิก, ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (มกราคม) 2537 หน้า 9 - 18 .
เขียนใน
GotoKnow
โดย
หนูนา
ใน
สุขภาพที่ดี
คำสำคัญ (Tags):
#สุขภาพที่ดี
#ต้องเอาใจใส่
หมายเลขบันทึก: 74919
เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2007 10:25 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 21:43 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
nudor
เขียนเมื่อ 28 มกราคม 2007 11:37 น. (
)
รับไม่ไหว อ่านมากไปก็พาลทำให้ปวดศีรษะเหมือนกัลค่ะ ขอพาราหน่อย
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
หนูนา
สมุด
สุขภาพที่ดี
ปวดศีรษะทำอย่างไร
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท