เมื่อ ๒ วันก่อน ไปช่วยหน่วยประกันฯ อบรมการใช้บล็อก....มีคำถามจากผู้เข้ารับการอบรมว่า..บล็อกนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง นั่นก็คือการประยุกต์ใช้บล็อกได้อย่างกลมกลืนหรือเนียนในเนื้องานของการทำงาน...
ผมมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว..แต่เพื่อเป็นการทบทวน สำหรับสมาชิกใหม่ๆ จึง..ขอค้นคว้าเรื่องนี้ใน GotoKnow... ใช้คำสั่งค้นหา...ด้านบน..พิมพ์คำว่า "บล็อก" ลงไปในช่องว่างแล้ว..ค้นโดย Google ก็จะพบ ข้อเขียนมากมายเลยครับ
ลองดูความตั้งใจแรกของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ ที่ต้องการให้บล็อกเป็น
-
สมุดไดอารี่ อิเล็คทรอนิก..ที่บันทึกเรื่องราว..วิธีการทำงาน ที่เป็นการริเริ่มสิ่งที่แปลกใหม่ในวิธีการทำงาน หรือ ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับงานที่คนอื่นๆ ยังไม่ทราบ
-
ถ่ายทอด ความรู้ฝังลึก Tacit Knowledge ที่อยู่ในตัวเองออกมา เพื่อลปรร.กับผู้อื่น..
แต่ถ้าวางกรอบไว้ แน่นหนาแบบนี้..คนที่เข้ามาใหม่จะเกิดอาการเกร็งน่าดูแล้วก็จะห่างหายไป
ต่อมา ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ เกิดไอเดีย.."กลยุทธ์การให้รางวัล"..สร้าง "รางวัลสุดคะนึง" ขึ้นมา..ซึ่งในระยะยาวก็ได้ผลดี...แต่มีคำถามว่า..ให้แค่เดือนละคนจะพอเพียงหรือ..แต่เพื่อไม่ให้เฟ้อจนเกินไปผมว่า..เดือนละคนก็ดีแล้ว..เพราะว่ายังมีรางวัล "จตุรพลัง" อีกเดือนละ ๔ คน..
ต่อไปผมขอรวบรวมประสบกาณ์ การเขียนบล็อกมาเล่าถึงการประยุกต์ใช้บล็อกในการทำงาน (เป็นเรื่องประโยชน์ซะมากกว่า)นะครับ..
ในเบื้องต้น
- ฝึกหัดเขียนบันทึก..แบบไดอารี่ บันทึกเรื่องราวการทำงานประจำวัน..ในหน้าที่...ในกรณีนี้คือฝึกเล่าเรืองแชร์ให้คนอื่นได้อ่านขึ้น..ฝึกความกล้าในการเขียน..ไม่มีถูกไม่มีผิด, ฝึกการตั้งเป้าหมายในการเขียนบันทึกว่าควรจะเขียนเดือนละกี่บันทึก...ที่สำคัญคือฝึกการถ่ายทอดเล่าเรื่องราวโดยการเขียน..เพราะว่าสมัยนี้ตอนเรียนหนังสือ ข้อสอบจะเป็น choice ส่วนใหญ่ พวกเราจึงไม่ค่อยได้ฝึกการเขียนเท่าไร..ส่วนนี้ก็จะพัฒนาการเขียนที่จะสื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้..
- ในการเขียนบันทึกช่วงแรกๆ พวกเพื่อนๆ ของเราคงได้ติดตามเข้าไปอ่านบ้าง..มีการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน..ข้อนี้ก็เป็นการฝึกให้คนที่เข้ามาอ่าน..ฝึกนิสัยการแสดงความชื่นชมยินดีกับผู้อื่น..การพลอยแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี..หรือการฝึกนิสัยแสดงมุทิตาจิตต่อผู้อื่นด้วย
-
แสดงตัวตนของเราออกมาจากบันทึกที่เราเขียน..เพราะว่าในบันทึก..มักจะมีเรื่องราวของเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย (ก็เราเป็นผู้เล่า) บันทึกที่เล่าเรื่องราวอย่างนี้ได้ดี คือ บันทึกที่เกี่ยวกับการเดินทางหรือท่องเที่ยว..ไปเห็นอะไรมา..เราก็ใส่ความรู้สึกของเราเข้าไปในตัวอักษรด้วย
-
ถ่ายทอดความสำเร็จในการทำงาน...เริ่มจากความสำเร็จเล็กๆ ก่อน...เป็นการฝึกการให้กำลังใจตัวเองในการทำงาน..เพื่อจะไปทำงานที่ใหญ่ขึ้นให้สำเร็จ..ความสำเร็จต้องเริ่มจากก้าวแรกก่อน..เสมอ
-
เรียนรู้ความสำเร็จจากผู้อื่น..แล้วมาประยุกต์ใช้กับการทำงานของตัวเอง...ในการเริ่มบันทึกใหม่ๆ เราก็ต้องไปหาความรู้จากผู้อื่น..โดยต้องเริ่มเข้าไปอ่านบันทึกของคนอื่น.(ว่าเขามีรูปแบบในการเขียนบันทึกอย่างไรบ้าง) เมื่ออ่านก็ย่อมได้ความรู้..และบางครั้งก็เอามาประยุกต์ใช้กับงานของเราได้อย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน
ในท่ามกลาง
- จะเกิดอาการเป็นโรคติดบล็อก คือ ถ้าไม่ได้เขียนบันทึกวันนี้แล้ว..จะรู้สึกหงุดหงิด..มาถึงตอนนี้ คุณก็จะเป็นคนที่เขาเรียกว่า "Blogger" แล้ว เพราะคุณอาจเขียนบันทึกมาถึง 100 บันทึก โดยไม่รู้ตัว
- เกิดมีกลุ่มชน หรือชุมชน "คนคอเดียวกัน" เกิดขึ้น มีคนรู้จักคุณเพิ่มขึ้น..ก็จะเกิดการจับกลุ่มกันเพื่อ ลปรร. (แลกเปลี่ยนเรียนรู้) กันเพิ่มขึ้น ในกลุ่มคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน..นอกจากนั้นก็จะเกิด "มิตรภาพ" ใน blogger เกิดความหวังดีซึ่งกันและกัน เรียกว่าเกิด "กัลยาณมิตร" ขึ้นในบล็อกหรือบันทึกเลยทีเดียว
- ถึงตอนนี้..เราก็อยากพบตัวตนจริงๆ ของ คนที่เรา B2B กันบ่อยๆ อยากจะเปลี่ยนเป็น F2F บ้างแล้ว คืออยากจะเห็น "ตัวเป็นๆ" ของเขาบ้างแล้ว ซึ่งอาจพบเจอกันในงานต่างๆ..หรือมีการนัดหมายไปพบกัน
ในเบื้องปลาย
- ใช้บล็อกในการเป็นหางปลา เพื่อเป็นที่รวบรวมขุมความรู้ (Knowledge Assets) ส่วนนี้รู้สึกว่า ป้าย (Tag) จะเข้ามามีบทบาทมาก โดยใช้คำสั่ง "ค้นหา" เพื่อให้ได้มาซึ่งขุมความรู้ที่เราต้องการ
- นอกจากบล็อกจะเป็นหางปลาแล้ว มันยังเป็นตัวปลาด้วย..เพราะทำให้เกิดการลปรร. ระดับ individual, ระดับหน่วยงาน. ระดับองค์กร, ระดับข้ามองค์กร, และระดับชาติ...ไม่น่าเชื่อว่าบล็อกจะมีพลังเช่นนี้...
- บางครั้งบล็อกยังทำหน้าที่เป็นหัวปลาด้วย...อย่างการกำหนดทิศทางด้านใดด้านหนึ่ง กำหนดเป็นทิศทางหรือเป้าหมายให้เดินกันไป..อย่างเช่น ที่สคส.กำหนดทิศทางของการทำ KM เพื่อไปสู่ LO....
-
ใช้เป็นกลยุทธ์ ที่จะ implement KM เข้าไปในองค์กร แบบว่า "ทำ KM แบบใจสั่งมา ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ" ซึ่งส่วนนี้ถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเองหน่อยๆ รู้สึกว่า มน.จะทำได้ดี...เนื่องจากเมื่อคุณเขียนบล็อก คุณก็ต้องไปอ่านบันทึกที่คนอื่นๆ เขาได้เขียนบ้าง..แล้วข้อเขียนหลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่มี KM แฝงอยู่ เราก็จะได้ความรู้ KM ไปแบบไม่ทันรู้ตัว..แล้วนำไปปฏิบัติก้บงานของเราแบบไม่ทันรู้ตัวเช่นเดียวกัน
ในเบื้องท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด)
- อย่าไปตก "หลุมดำ KM" อยู่นะครับ..เพราะว่า KM เป็นเพียงเครื่องมือ..เราต้องใช้ KM...พัฒนา "ฅน" พัฒนาที่จิตใจของเขาให้เป็นคนดี (ประมาณ ๒๐ เปอร์เซนต์ขึ้นไป)..ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ LO....เราเรียกขั้นตอนนี้ว่า "ก้าวข้าม KM"
สคส.พยายามไปถึงเบื้องท้ายๆ แล้วครับ
แต่หน่วยงานอื่นๆ ยังต้องรอให้คนในองค์กร "ปรับตัว" ให้ไปถึงขั้น .."ก้าวไปพร้อมๆ กัน แบบมั่นคง และไม่ผิดทิศผิดทาง"
สวัสดีครับ..beeman
|
BeeMan |