เมื่อ ๒ วันก่อนขณะที่ผมกำลังเตรียมการสอนอยู่ในห้องทำงาน ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายที่อยู่ที่โคราชว่า พี่สาวคนโต (ตอนนี้อายุ ๗๔ ปี) ป่วยหนัก ไม่สามารถวัดชีพจรได้ ไปโรงพยาบาลที่อำเภอสูงเนิน ไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องส่งตัวด่วนไปที่โรงพยาบาลมหาราชในเมืองโคราช
พี่สาวคนนี้เป็นคนที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กแบเบาะ จนเข้าวัยเรียนหนังสือ จะเว้นก็ช่วงที่ผมไปอยู่วัด ส่งผมเรียนจนจบชั้นมัธยม ก่อนจะส่งต่อไปให้พี่ชายคนโตส่งเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ผมก็อยากจะรีบไปเยี่ยม แต่ก็ติดงานด่วนมากมายหลายเรื่อง จึงใช้วิธีโทรฯติดต่อกับหลานที่ดูแลอยู่เรื่อยๆแทนการไปเยี่ยมด้วยตัวเอง
ได้ทราบว่าหมอที่โรงพยาบาลในเมืองโคราชได้ช่วยแก้ไขได้ทัน ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และหวังว่าคงจะดีขึ้น
ได้ทราบว่าได้มีการให้น้ำเกลือ ให้ออกซิเจน และยาหลายขนาน แต่ยังไม่ถึงกับเข้าห้อง ICU
ได้ทราบว่าจนถึงเมื่อวานนี้ (๒๖ มค.) ตอนกลางวัน ที่ผมโทรไป หลานก็บอกว่าดีขึ้น มีญาติพี่น้องยกขบวนไปให้กำลังใจกัน ๒-๓ รถ เกือบทั้งหมู่บ้าน ตามประเพณีไทย ว่าใครป่วยต้องไปเยี่ยมกัน เหมือนกับที่ผมเคยเห็นสมัยเด็กๆ เวลามีใครป่วยด้วยสาเหตุใดก็ตาม จะมีคนแวะไปเยี่ยมกันแบบไม่ขาดสาย โดยเฉพาะตอนเย็นๆ จะนั่งกันเต็มนอกชานเลยละครับ
ที่ “นักวิชาการ” ระดับ “มนุษย์กระถาง” ไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ก็คงคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาในระดับโรงพยาบาล และการ “รักษาพยาบาล”
ที่จริงผมก็เห็นบ่อยในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ชาวบ้านเหมารถกันมาเยี่ยมญาติที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะไม่ประสพกับตนเอง
วันนี้ ผมก็เลยวางแผนรีบทำงานและกะว่าจะไปเยี่ยม ให้ทันญาติพี่น้อง แต่ก็ไปช้าจนทุกคนกลับไปหมดก่อน แบบพลาดกันนิดเดียว
พอผมไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นพี่สาวนอนแบบคนป่วยธรรมดา ก็ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่พอพี่สาวผมเห็นผมก็ร้องทักแล้วรีบลุกขึ้นมานั่งคุยเหมือนกับไม่ใช่คนไม่สบาย
ผมเห็นอาการสดชื่นของพี่สาวผมแล้ว ก็ตื้นตันใจจริงๆว่า
นี่แหละหนออำนาจ "กำลังใจ" คนที่เฉียดเส้นตายมาเมื่อวันก่อน เมื่อวานสายยางยังระโยงรยางค์ วันนี้ลุกนั่งคุยได้แล้ว ผมก็เลยรีบโทรกลับไปหาพี่ๆที่อยู่กรุงเทพฯ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะดูเหมือนจะหายดีแล้ว หมอให้รอดูอาการอีกนิดหน่อย เผื่อโรคจะแกล้งย้อนกลับมาอีก ผมก็เลยพูดล้อเล่นๆให้พี่สาวลืมความเจ็บป่วยว่า “สงสัยวันนี้คนทำความสะอาดโรงพยาบาลลางาน หมอก็เลยให้พี่สาวผมอยู่ช่วยงานโรงพยาบาลไปก่อน จนกว่าคนที่ลาจะกลับมาทำงานตามปกติ” ที่ทำให้ทุกคนหัวเราะแบบหายเครียดกันไป
วันนี้ ผมจึงประทับใจ และซึ้งกับคำว่า “กำลังใจ” คือ “ยาขนานเอก” ไม่ทราบ ท่าน ดร. ดร. กะปุ๋ม เห็นด้วยไหมครับ
หรือมีคำอธิบายเชิงวิชาการตามสาขาที่เรียนมา เสริมให้ดูเป็นจริงขึ้นอีกสักหน่อยไหมครับ
กำลังใจ ช่วยกำลังกาย
แล้วกำลังภายใน จะช่วยกำลังจิต
เอ๊ะ กำลังใจ กับกำลังจิตเหมือนกันไหม
บางคำใช้ว่า พลังจิต จะไปช่วยพลังใจ ได้ไหม
ขอให้หายวันหายคืน ขวัญเย้อมาคืน
ขอเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ผมก็เชื่อว่าพลังใจสำคัญกว่าพลังกายครับ
ขอให้พี่สาวอาจารย์หายป่วยไวๆ นะครับ
สวัสดีค่ะ ดร.แสวง
ขอให้หายเร็วๆนะครับ
กำลังใส่บล็อก ส่งผ่านมาทางอาจารย์แสวง
ขอให้พี่สาวอาจารย์แสวงหายป่วยเร็วๆนะครับ
ขออาราธนาสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้พี่สาวของท่านอาจารย์ แสวง จงหายจากกอาการเจ็บไข้ได้ป่วยในเร็ววัน และมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงครับ
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
ขอให้พี่สาวของอาจารย์แสวง หายป่วยเร็ว ๆ นะค่ะ
กำลังใจเป็นสิ่งที่สวยงามค่ะ
ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ค่ะ อาจารย์
ขอให้พี่สาวของอาจารย์หายป่วยและออกจากโรงพยาบาลเร็ววันค่ะ
ขอคุณความดีที่ทำมา ช่วยดลบันดาลให้พี่สาวอาจารย์หายป่วยเร็วไวค่ะ
ด้วยความเคารพ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมและให้กำลังใจ
ผมซาบซึ้งมากครับ
พี่สาวผมกลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วครับ