หัวควายที่บ้านพี้


ผู้เฒ่าพากันเล่าว่าเมื่อก่อนแถบทุ่งนาแถวนี้ มีควายฝูงใหญ่เต็มท้องทุ่ง เมื่อตอนเด็กๆ สนุกสนานกับการเลี้ยงควาย ทำนา เล่นน้ำ หาปูหาปลา เก็บผักเก็บหญ้า เวลาผ่านไป ฝูงควายกินหญ้าหายหมดแล้ว มีแต่ควายที่กินน้ำมัน

          ที่กุฎิเจ้าอาวาสวัดบ้านพี้ใต้ ตำบลบ้านพี้ อำเภอบ้านหลวง จังหวัดน่าน มีหัวควายอยู่หัวหนึ่ง ชาวบ้านเล่ากันว่า เมื่อหลายปีก่อน มีศิลปินเพลงเพื่อชีวิตรุ่นใหญ่ ที่มีสัญญลักษณ์วงเป็นรูปหัวควาย เคยมาถามซื้อหัวควายหัวนี้ ด้วยว่ามีรูปลักษณ์ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับโลโก้ของวงเป็นอย่างมาก แต่เจ้าของหัวควายไม่ยอมขาย !?! และยังคงไว้ที่วัดอยู่จนถึงทุกวันนี้

           “ทำไม ? ไม่ขายเล่า..” คำถามจากเหล่าอนุชนเพื่อชีวิต

          “รู้หรือเปล่าว่าคนมาถามซื้อเขาคือใคร? “

          “รู้.. เขาเป็นคอมมิวนิสต์เก่า”

          “ไม่ใช่ หมายความว่าตอนนี้ เขาดังคับประเทศ แถมยังรวยจากการขายเครื่องดื่มชูกำลังอีกน่ะนะและเพลงก็ดังทุกชุด..”

         “เหรอ… อืมม์...” ทำเอานิ่งอึ้งกันไปรอบวงคุย ความคิดของแต่ละคนแล่นอยู่ในหัวใครหัวมัน

          มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตอนนั้นเขาเสนอราคาหลักหมื่น แถมยังบอกว่าถ้าขายหัวควายหัวนี้ให้ จะยกวงดนตรีมาเล่นหาเงินเข้าวัดให้ทุกปีเลยฟรีๆ

        เหล่าอนุชนเพื่อชีวิต ร้องวู๊ว “เสียดาย ไม่งั้นที่วัดบ้านเรา ก็จะมีวงดนตรีเพื่อชีวิตวงดังที่สุดของประเทศ มาเล่นทุกปีแล้ว อดมันส์เลย”     

        บรรดาผู้เฒ่าร้อง เฮ้ย “ดีแล้ว ไม่งั้นทุกปีพวกเอ็งก็จะตี จะตายกันหลาย.. เดือดร้อนแน่ๆ”

        ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้าน ร่วมแจมวงคุย “มันก็ได้อย่างเสียอย่างนะ ถ้าเขาเอาดนตรีมาเล่นให้วัดเราทุกปีจริง บ้านเราน่าจะดัง วัดมีรายได้ คนบ้านเรามีรายได้ ปีนี้บ้านเราย่ำแย่ เพราะพิษหน่อไม้ปี๊บ เสียหายกันไปทั่วประเทศมาแล้ว... วัดเรายังไม่มีหอระฆัง เขาอาจจะสร้างหอระฆังถวาย”

       “เราสร้างกันเองได้ หอระฆัง...” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ย

      “แต่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่.. วัดไม่มีตังค์..” ชายวัยกลางคนแย้ง

        “จัดทอดผ้าป่าสักครั้งก็สร้างเสร็จได้แล้ว..”

        “ถ้าเขามาถามซื้ออีก ให้สักแสน ตอนนี้จะขายมั้ย ?”   ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้านแกล้งแหย่ เมื่อเห็นทั้งวงนิ่งอิ้งอีกครั้ง

          “ไม่ขาย..” เจ้าของตอบ “เท่าไหร่ก็ไม่ขาย หัวควายนี้ต้องอยู่ที่วัดเรา ไว้ให้เด็กรุ่นหลังดู เขายาวๆอย่างนี้ไม่มีให้ดูแล้ว.."

           ผู้เฒ่าพากันเล่าว่าเมื่อก่อนแถบทุ่งนาแถวนี้ มีควายฝูงใหญ่เต็มท้องทุ่ง เมื่อตอนเด็กๆ สนุกสนานกับการเลี้ยงควาย ทำนา เล่นน้ำ หาปูหาปลา เก็บผักเก็บหญ้า เวลาผ่านไป ฝูงควายกินหญ้าหายหมดแล้ว มีแต่ควายที่กินน้ำมัน เหล่าอนุชนเพื่อชีวิตบอกว่ายังรู้จักควายอยู่ ก็เพราะมีวงดนตรียี่ห้อหัวควาย เพลงดัง ดิ้นมันส์ ความหมายดี

          คนเฒ่าและอนุชน คิดกับควายต่างกัน คิดต่างและให้คุณค่าต่าง ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้านครุ่นคิด นี่เป็นความขัดแย้งที่มีสายใยกลมกลืน ผู้เฒ่าไม่ยอมขายหัวควายเพราะอยากเก็บให้เด็กดู เด็กอยากให้ขายหัวควายเพราะอยากดูวงดนตรีหัวควายของศิลปินเพื่อชีวิตคนดัง ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้านถอนใจจ้องตาหัวควายที่ติดอยู่บนเสาในกุฎิเจ้าอาวาส “หัวคน”สับสนกว่า”หัวควาย” จริงๆด้วย เดี๋ยวฝนจะมาแล้ว รีบเดินทางออกจากหมู่บ้านดีกว่า ถึงอย่างไร หัวควายก็ยังอยู่ที่นี่

        เมื่ออำลาวงคุย เหล่าอนุชนเพื่อชีวิต เดินตามมาส่งที่รถ ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้านยิ้มให้อย่างเอ็นดูแล้วถามส่งท้าย

       “เขาไม่เคยนำวงมาเล่นให้ดูที่จังหวัดน่านหรือ..”

        “มาเหมือนกัน แต่มาเล่นตามผับในเมือง ไม่มีเงินไปนั่งกิน นั่งดู ถ้าบ้านเราขายหัวควายตอนนั้น ที่วัดเราคงได้ดูดนตรีของเขาฟรีทุกปีแล้วนะน้านะ” เหล่าอนุชนตอบ สตาร์ทเครื่องรถแล้ว ยังไม่ขับเคลื่อน ยังมีอีกหนึ่งคำถาม “ถ้าเขามาร้องเพลง แล้วเขาจะเอาเครื่องดื่ม ..............แดงมาแจกคนหมู่บ้านเรามั้ย?”

         “แจกอยู่แล้ว ก็เขารวยแล้ว บางทีเอาฝามันมาจับชิงโชคกันอีก..” ปัญญาชนคนนอกหมู่บ้านคาดเดา

       “ชิงโชค แจกรางวัลอะไรละครับ..?”

       “ก็น่าจะแจกเครื่องดื่ม..............แดงของเขานั่นแหละ...”                 

                                  ..........!?!........

คำสำคัญ (Tags): #พัฒนาสังคม
หมายเลขบันทึก: 74853เขียนเมื่อ 27 มกราคม 2007 22:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 13:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
แก่นแท้ของมนุษย์คือการเห็นแก่ตัว

พี่พืชค่ะ

      บันทึกก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมดแล้วอะ ยังไม่ได้อ่านเลย

เรียน คุณน้องแป๊ด

           พี่ต้องขอโทษด้วย  บันทึกก่อนหน้านี้ พี่ลบเอง  ด้วยความรู้สึกว่า บางบันทึกไม่ตรงกับความคิดรวบยอดที่พี่ต้องการนำเสนออย่างแท้จริง  อีกอย่างหนึ่ง  พี่นำมาลงโดยไม่ได้จัดวรรคตอนบันทึกให้น่าอ่าน  เลยต้องขออนุญาต ลบเสียก่อน   เพื่อนำเสนอใหม่ ตามลำดับเวลาต่อไป

        

พี่พืชค่ะ

     จริง ๆ แล้ว  พี่ไม่จำเป็นต้องลบก็ได้ค่ะ

   พี่สามารถเขียนทุกเรื่องที่พี่อยากเขียน ถ้าบันทึกไหนพี่ไม่อยากให้คนอื่นเห็น  เวลาพี่พิมพ์เสร็จ ก่อนที่จะกดบันทึก  ตรงปุ่มซ้ายล่างสุด มันจะมีข้อความให้พี่เลือก  พี่ก็เลือกตรงที่ ไม่แสดงต่อผู้อื่น รับรองว่าไม่มีใครเห็นบันทึกพี่  มีแต่พี่เท่านั้นคะ  เราก็จะสามารถเก็บทุกเรื่องที่เราอยากเก็บได้ค่ะ

        เสียดายจัง เพราะถ้าเราเขียนถ่ายทอดความรู้สึกออกมาแล้ว  ถ้าเราจะเขียนอีกครั้งในเรื่องเดียวกัน  ความรู้สึกที่ได้รับก็จะแตกต่างกันค่ะ

เรียน น้องแป๊ด พี่ทราบครับ แต่บันทึกเหล่านั้น จริงๆแล้ว พี่เขียนลงตีพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ "ทางไท" มาก่อน ไม่ได้เขียนสดๆในบันทึก หรอกครับ และ พี่จัดเก็บไฟล์ ไว้ในพื้นที่ส่วนตัว อย่างดิบดีแล้ว ไม่น่าเสียดายอะไรนี่ครับที่ลบบันทึกไม่ได้หมายความว่า พี่ลบสิ่งที่เขียน เพียงแต่พี่ไม่อยากเก็บไว้ในพื้นที่นี้ ก็เท่านั้น ไม่ว่ามันจะแสดงหรือไม่แสดงต่อผู้อื่นก็ตาม เหมือนเรามีไดอารี่ หลายเล่ม บางบันทึกเราก็ไม่อยากให้ปรากฏในไดอารี่บางเล่ม ลองย้อนกลับไปอ่านที่ เกี่ยวกับ Blog ของพี่แล้วกัน นะน้อง คิดถึงสิ้นดี
หวัดดีครับ พี่พืช! ผมเอง(น้อย)แต่ตัวใหญ่ เพื่อนไอ้เอ๊ะ.. พี่บายดีนะ ผมได้ฟังเพลงชุดใหม่แล้ว เพราะดีครับ..แถมผมยังให้พรรคพวกด้วย อีก4 แผ่น (ไอ้เอ๊ะ มันจี้ผมมา 5 แผ่น ณ วันนี้ยังไม่ได้จ่ายตังค์ มันที แต่ไม่เป็นไร มันมีตังเยอะ ยางโล70-80 บาท) วันไหนมาเล่นดนตรี ที่พัด-ลุง ก็โทรมาบอกกันบ้างนะครับพี่084-9661895 ตอนนี้ผมอยู่พัด-ลุงแล้ว (อ.กงหรา) คิดถึงพี่ครับ (สักวันคงเจอกันนะครับ)

เรียน  น้องบ่าวน้อย

ดีใจที่ราวข่าวครับ  พี่เองไม่ได้เข้า blog นานมาแล้ว ยุ่งๆ  อยู่    แต่ก็เรื่อยๆ    กินได้ นอนกรน   อ้วนพี   มีไหรก็ส่งข่าวถึงพี่ได้ครับ

หัวคน สับสน กว่าหัวควาย  เชื่อได้ ม้ายเติน น้า แ  ด  หัวควาย ปากหมาประสา ควาย  เด็ บาว ๆ บ้านผม เขาชมชอบคุณ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท