สร้างระบบสุขภาพฐานความรู้ด้วยการจัดการความรู้
1.1 มีระบบเหมืองข้อมูลรวม(Data mining) ที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ทำให้สามารถวิเคราะห์และจัดระบบข้อมูลที่ให้ผู้บริหารสามารถเข้าไปดูได้ง่าย
1.2 มีการกำหนด KPIs อย่างเหมาะสมเพื่อใช้วัดผลงานและติดตามงาน โดยมีตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่แสดงให้เห็นได้เป็นตัวเลข ชั่งตวงวัดได้ง่าย ที่ไม่มองแค่ผลผลิต(Outputs)เท่านั้น แต่ควรมองไปถึงผลลัพธ์(Outcomes) ผลกระทบ(Impacts)และผลลัพธ์บั้นปลาย(Ultimate outcomes)ได้ด้วย
1.3 ตัวชี้วัดเชิงปริมาณอย่างเดียวจะไม่เพียงพอที่จะวัดความสำเร็จของงาน ควรมีการกำหนดตัวชี้วัดเชิงคุณภาพไว้ด้วย เนื่องจากระบบสุขภาพหลายเรื่องไม่สามารถวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่สามารถเล่า บอก กล่าว เขียน พรรณนาออกมาให้เห็นภาพของความสำเร็จได้
1.4 การนิเทศติดตามงานเชิงบวก ไม่ควรต้องการแค่ตัวเลขเท่านั้น แต่ควรมีการค้นหาสิ่งดีๆ ความสำเร็จ นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ด้วยพร้อมทั้งมีเวทีที่จะเผยแพร่ชื่นชมผู้ที่สร้างผลงานเหล่านั้นด้วย
1.5 มีระบบเปรียบเทียบผลงาน (Benchmarking) กันอย่างสร้างสรรค์ ทำให้แต่ละพื้นที่มีข้อมูลที่สามารถเปรียบเทียบผลงานกันได้ จะทำให้ได้ Best practice หรือ Innovation ออกมา และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันจากBest practiceหรือ Innovation ที่เกิดในพื้นที่
2.1 เข้าใจแนวคิด หลักการของKM โดยเน้นการจัดการความรู้ในตัวคน (Tacit knowledge) มากกว่าความรู้ในตำรา (Explicit knowledge) ไม่ใช่ไปเน้นแต่การถอดความรู้มาเก็บเป็นตำรา ใส่ไว้ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น ซึ่งผิดทิศผิดทางของการจัดการความรู้ที่ไปเน้น “เข้าเครื่อง” มากกว่า “เข้าคน” ผลทางสุขภาวะทางจิตวิญญาณและความสัมพันธ์ของคนจะไม่เกิดขึ้น
2.2 ใช้เครื่องมือและรูปแบบการจัดการความรู้ที่หลากหลาย ไม่ใช่เน้นแค่การจัดตั้งชุมชนแนวปฏิบัติเท่านั้น อาจใช้เพื่อนช่วยเพื่อน เรื่องเล่าเร้าพลัง สุนทรียสนทนา ทบทวนหลังปฏิบัติ สุนทรียสาธก สุนทรียทัศนา เป็นต้น หรือจะใช้หลายอย่างบูรณาการไปก็ได้
2.3 ควรจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่ไปเน้นแค่เวทีแลกเปลี่ยนในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น กลุ่มที่จะมาแลกเปลี่ยนก็ควรจะมาจากส่วนที่หลากหลาย ทั้งในกลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด้วยกันเอง เจ้าหน้าที่จากแต่ละกระทรวงหรือร่วมกับประชาชนกับชุมชนก็ได้
2.4 มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ของการจัดการความรู้คืองานดีขึ้น คนดีขึ้น และวิธีปฏิบัติดีขึ้นหรือนวัตกรรมมากขึ้น
3.1 ควรพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (Routine to research : R2R) เพราะจะทำให้ได้งานวิจัยที่สอดคล้องกับงานประจำ นำไปปรับปรุง พัฒนางานประจำที่ทำอยู่ได้
4.1 จัดทำคลังความรู้ด้านสุขภาพของชาติ (Health Knowledge Asset Center) ที่เก็บคลังความรู้ที่สกัดมาจากความรู้ในตัวคนหรือความรู้ฝังลึกมากกว่า ไปเก็บเอาความรู้ในตำรามารวบรวมกันไว้อย่างเดียวโยไม่ได้ผ่านการปฏิบัติจริงในพื้นที่ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งความรู้ที่ไม่เหมาะกับบริบท ทำให้ไม่มีใครดึงเอาไปใช้
4.2 มีกลไกการบริหารจัดการเพื่อให้มีการกระตุ้นให้นำเอาความรู้ในคลังความรู้ ไปใช้ พัฒนา ต่อยอด และมีการทบทวนความทันสมัยของความรู้อยู่เป็นระยะๆ เพราะความรู้ที่ดีต้องปรับได้เปลี่ยนได้ คือปรับให้เหมาะกับสถานการณ์และเปลี่ยนให้ทันกับความต้องการของลูกค้า
4.3 คลังความรู้ ควรมีทั้งคลังความรู้ที่เป็นความรู้ในตำราเพื่อเก็บไว้ใช้อ้างอิง คลังความรู้ที่เป็นBest practice คลังความรู้ที่เป็นInnovation และคลังความรู้ที่เป็นเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ (Expert network)หรือจัดทำเป็นแผนที่ศักยภาพของมนุษย์ (Human Mapping) ทางด้านสุขภาพเพราะด้วยข้อจำกัดหลายด้าน อาจทำให้ไม่สามารถถอดความรู้ในตัวคนจากผู้รู้จริงได้ทั้งหมด การทำเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญจะช่วยได้มาก โดย นายแพทย์พิเชฐ บัญญัตินายแพทย์ 8 ด้านเวชกรรมป้องกัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลบ้านตาก จังหวัดตากไม่มีความเห็น