เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 คณะอาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ชั้นปีที่ 3 จาก มอ.ปัตตานี มาศึกษาดูงาน ภาควิชาเทคโนโยและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยหัวหน้าภาคเทคโนฯ มน. ได้มอบหมายให้นิสิตปี 3 (รุ่นผม) เป็นผู้รับผิดชอบให้การต้อนรับ โดยเพื่อนๆมอบหมายให้ผมเป็นผู้ดำเนินรายการ
จากการสอบถามความคาดหวังของผู้มาเยือนนั้น นอกจากจะมาเยี่ยมชม ศึกษาดูงานแล้ว ยังต้องการสร้างเครือข่าย และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสองสถาบัน
ซึ่งก็ได้ทีผมเลยละครับ ที่จะยกเครื่องมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาใช้ โดยเมื่อมาถึงนะครับ เราให้การต้อนรับ และจัดให้ผู้มาเยือนเข้าห้องรับรอง โดยเราก็ได้พูดคุยสร้างความเป็นกันเอง และมีหัวหน้าภาควิชาเทคโนฯ มน. ผศ.ดร.สุภาณี เส็งศรี มากล่าวให่การต้อนรับและพูดถึงภาพรวมของภาควิชาเทคโนฯ มน.
จากนั้นนะครับเราก็จัดแสดงผลงานของนิสิต มน.ที่เราได้สร้างสรรค์ขึ้นก็ได้รับความสนใจพอสมควรครับ สังเกตจากการสอบถามและกริยาของผู้ฟัง และก่อนที่เราจะเข้าสู่กิจกรรมตามจุดประสงค์หลัก คือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ตามหัวข้อ ความแตกต่างระหว่างสองสถาบัน ผมวางแผนไว้ว่าจะให้จัดเป็น 4 กลุ่มโดยผสมกันระหว่างนิสิตสองสถาบัน ดังนั้นก่อนจะเข้ากระบวนการหลัก ผมจึงจัดกิจกรรมสันทนาการไป 1 ชุด เพื่อละลายพฤติกรรม สร้างความคุ้นเคย โดยผมบอกผู้นำสันทนาการไว้ว่า ให้หาอุบายให้ทุกคนแบ่งกลุ่มเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละเท่าๆกัน โดยผสมกันทั้งสองสถาบัน ซึ่งผู้นำสันทนาการก็ทำได้ดีมากเลยครับ
หลังจากนั้นเมื่อแบ่งกลุ่มแล้วผมก็ให้โจทย์ไปว่า ให้แต่ละกลุ่มพูดคุยกันว่า ทั้งสองสถาบันมีความแตกต่างกันอย่างไร ที่แตกต่างกันนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร และความรู้ที่ได้ในวันนี้จะเอาไปใช้ทำอะไร โดยให้เวลาการคุยกัน 20 นาทีและส่งตัวแทนออกมากลุ่มละ 2 คน 2 สถาบัน เพื่อมาพูดเรื่องดังกล่าว
ซึ่งก็ปรากฏเหมือนการ ลปรร. ทุกครั้งครับ เวลานั้นไม่พอการพูดคุยเป็นไปอย่างออกรสชาด แต่ละคนแต่ละกลุ่ม เมื่อมีความคุ้นเคยกันแล้วก็ต่างพูดคุยกันตามบรรยากาศที่เอื้ออำนวย สุดท้ายนะครับต้องยอมให้เวลาล่วงเลยไปถึง 40 นาที เมื่อเวลาใกล้เที่ยงการพูดคุยจึงสิ้นสุดลง ตัวแทนกลุ่มก็ออกมาพูดถึงเรื่องราวในกลุ่มให้เพื่อนกลุ่มอื่นฟัง
ซึ่งเนื้อหาส่วนมากก็จะเป็นด้านความแตกต่างของหลักสูตร กิจกรรมของนิสิต เครื่องไม้เครื่องมือ ซึ่งก็แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย (ก็สาขาเดียวกัน) ซึ่งสิ่งที่ได้นะครับนอกเหนือจากเปิดหูเปิดตาให้กับนิสิตนักศึกษาทั้งสองสถาบันแล้ว ยังสามารถสร้างความคุ้นเคยสร้างเครือข่าย "เลือดเทคโนฯ" ซึ่งตรงนี้น่าสนใจมากครับ ว่าเครือข่ายนี้จะพัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน หรือ เป็นเหมือนไปไหม้ฟาง ก็ขอฝากอาจารย์ผู้เกี่ยวข้องไว้ด้วยนะครับ
ซึ่งก่อนจะจากลากันนะครับ เราได้จัดกิจกรรมใจสู้ใจ คือให้เขียนความรู้สึกจากมิตรภาพที่ได้มาเจอกันวันนี้ เปรียบเหมือนการประเมินไปในตัวครับ ซึ่งมีหลายข้อความน่าสนใจมากครับ เช่น
ออ ลืมบอกไปครับ ก่อนที่เค้าจะมาที่ มน. เค้าได้ไปดูสถาบันอื่นที่ กทม.ด้วยครับ และหลังจากเราเค้าจะไปที่เชียงใหม่ต่อ
จากการสอบถามนะครับ นักศึกษาที่มาดูงานจาก มอ.ปัตตานี นั้น ต้องเสียเงิน(เอง) คนละ 3500 บาท (เยอะจัง) โดยจะใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 1 อาทิตย์ ไปแวะที่ กทม. พิษณุโลก เชียงใหม่ และย้อนกลับไปที่ปัตตานี ไกลน่าดูเลยนะครับ
ผมเคยได้ยินว่าการศึกษาคือการลงทุน เห็นจากการลงทุนของเพื่อนๆจาก ปัตตานีแล้ว ถามว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มไหม ผมไม่ทราบครับ ในขณะที่ค่าเทอมของรุ่นผม ประมาณ 5000 บาท แต่รุ่นน้องผม 10000 บาท มากขึ้นถึง 100 % แต่รุ่นน้องผมเวลาไปดูงานก็ต้องเสียเงินเอง เช่นเดียวกับรุ่นผม เช่นเดียวกับเพื่อนๆจากปัตตานี ผมไม่ทราบว่า ค่าเทอมที่แพงขึ้นถึง 100 % นั้น เม็ดเงินนั้นหายไปไหน รุ่นน้องผมจ่ายเงินมากกว่าผมถึงเท่าตัว แต่ทำไมเงินที่กลับไปเป็นค่าลงทุนทางการศึกษา จึงพอๆกับของผม สงสัยจังเลยครับ
ใครมีคำตอบ ใครมีคำถาม ใครมีอะไรเสนอแนะ เรียนเชิญครับ
กิจกรรมดีๆ แบบนี้ น่าจะจัดขึ้นทุกปี (ถ้ามีงบประมาณเพียงพอ) จะได้เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสถาบันต่างๆ แล้วนำความรู้เหล่านั้น มาพัฒนาภาควิชาฯ ของเรา ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณ คุณบีเวอร์...
ปี 2531...
น่าเห็นใจนิสิตนักศึกษาจากปัตตานีที่ต้องลงทุนดูงานกันถึง 3,500 บาท...
ตอบ ป้าแนน
ตอบ น้องกวาง
ตอบ น้องแอน
ดูเป็นกันเอง อย่างที่พี่ปืนบอกจริง ๆ ค่ะ แต่แอบเห็นใจ ม.ปัตตานีอ่ะ รู้สึกว่าเค้าเดินทางไกลจริง ๆ แต่เรื่องแค่นี้ คงไม่ทำให้เค้ารู้สึกเสียเที่ยวหรอกเน๊อะ เพราะดูแล้วเค้าจะได้อะไรมากมายจากการเดินทางครั้งนี้อ่ะ เป็นการลงทุนที่ทำกำไรมหาศาล พี่ปืนว่าจริงไหมค่ะ...
ดีจัยที่ได้ไปเยือนมน. คิดถูกมากๆๆที่ได้ไปที่นั่น
หวังว่าเพื่อนจะมาตานีบ้างนะ
รับรองไม่เจอ ระเบิด แน่
เราอยู่มาสามปีแลวยังไม่เคยเห็น
ฮาๆๆๆๆๆ
น้อง ๆ อย่าไปซีเรียสเรื่องการลงทุนหรอกจ้า
จะคุ้มหรือไม่คุ้ม มันขึ้นอยู่กับว่า น้อง ๆ ได้กอบโกยความรู้จากอาจารย์(ผู้ที่พร้อมจะให้เรากอบโกยความรู้)ได้มากเท่าไรนั่นเอง
-คนที่ตอบว่าคุ้ม คือ คนที่ได้รับความรู้จนพอใจ
-คนที่ตอบว่าไม่คุ้ม คือ คนที่ยังไม่ได้ความรู้
สำหรับพี่ จ่ายค่าเทอม 26,000 บาท มา 2 เทอมแล้ว พี่ยังคิดว่า ยังไม่คุ้ม เพราะต้องแบ่งเวลาเรียนไปทำงานซะนี่ เพราะถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม
ส่วนน้อง ๆ นะเหรอ พี่ให้ความเห็นว่า ควรเรียนให้คุ้มไปเลย ....