ปีการศึกษา 2538 เป็นต้นมา นับได้ว่าเป็นจุดแรกเริ่มของกิจกรรมอันหลากรูปแบบ หลากรสชาติ และหลากสีสัน (โหด มัน ฮา) หรือเรียกให้เต็มศัพท์หน่อยก็คือ หลากล้นด้วยกิจกรรมรื่นรมย์และเริงปัญญา
ทั้งหมดทั้งปวงเป็นผลพวงของการยกฐานะให้มีสโมสรนิสิตคณะต่าง ๆ และสโมสรนิสิตคณะนี่เองคือองค์กรใหม่ของการขับเคลื่อนกิจกรรม หลังจากที่ก่อนหน้าที่มีแต่เฉพาะองค์การนิสิตเท่านั้นที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรม ส่วนชมรมสังกัดองค์การนิสิตก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
การยกฐานะให้มีสโมสรนิสิตคณะอย่างเป็นทางการในยุคนั้น บรรดาเกจิทั้งหลายมองต่างมุม ถึงลูกถึงคนไปคนละทิศคนละทาง กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็มีเสียงเล็ดลอดมาว่า จะทำให้นิสิตมีความ “แปลกแยก” ทางกิจกรรม ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนำไปสู่ความ “แตกแยก” ระหว่างคณะในอนาคต
ขณะที่กลุ่มใหม่ขานรับเซ็งแซ่ ตีอกชกตัวด้วยความดีใจที่จะมีสโมสรนิสิตคณะอย่างถูกต้องเป็นทางการ สามารถจัดกิจกรรมได้ตามกิเลสของตนเองกันซะที หลังจากจมจ่อมอยู่กับวังวนขนบเดิม ๆ อันเป็นแบบฉบับทางกิจกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน
โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคนกลุ่มใหม่ เพราะอย่างน้อยก็เป็นกลุ่มขับเคลื่อนการยกฐานะสโมสรนิสิตคณะสืบมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ รวมทั้งการผลักดันองค์การนิสิตให้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีชมรมในสังกัดสโมสรนิสิตคณะ (๒๕๔๐) เพราะเชื่อว่า สโมสรนิสิตคณะหรือทางเลือกใหม่ของการ “สร้างสรรค์” กิจกรรมและในอีกนัยหนึ่งก็คือ ทางเลือกหนึ่งในการเสริมสร้างการบูรณาการการเรียนรู้ระหว่างทักษะวิชาชีพกับกิจกรรมเพื่อสังคม
การขับเคลื่อนครั้งนั้นต้องให้เครดิตกับองค์การนิสิตยุคปี ๒๕๔๐ เป็นกรณีพิเศษ เพราะผลักดันให้มีชมรมในสังกัดคณะได้อย่างเสรี ที่สำคัญคือการทลายกำแพงประเพณีองค์กรแม่ให้โครงการจัดตั้งคณะ มีอำนาจในการจัดกิจกรรมโดยไม่ขึ้นกับคณะใดคณะหนึ่ง นั่นคือ โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมฯ (ขณะนั้นรวมอยู่กับคณะมนุษย์ฯ)รวมความถึงโครงการจัดตั้งคณะสถาปัตย์ฯ ด้วยเช่นกัน !
ถึงตรงนี้ เมื่อวันเวลาล่วงผ่านมานับสิบปี ข้าพเจ้าก็ยังเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการก่อเกิดกิจกรรมในระดับคณะอย่างแน่นอน เพราะมันคือทางเลือกของการสร้างและเสพกิจกรรมขนานหนึ่งของปัญญาชนในมหาวิทยาลัย
ทางเลือกที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงมันอาจจะหมายถึงเสรีภาพทางความคิดที่นิสิตในคณะนั้นมีความเป็นอิสระในการเสกสร้าง ปรุงแต่ง
และต่อเติมวิญญาณความรู้สึกของตนเองลงในเนื้องานอันเป็นกิจกรรม
หลากคณะ ย่อมหมายถึงความแตกต่างที่หลากหลายกันออกไป กิจกรรมหนึ่ง ๆ จึงสามารถบ่งบอกความเป็น “ตัวตน” ของแต่ละคณะอย่างไม่ผิดเพี้ยน จะบ้าระห่ำ ลุ่มลึก คลาสสิค โรแมนติค หรือแม้แต่อิโรติค ก็ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต (life style) ของแต่ละคณะซึ่งวิถีชีวิตนี้ก็ถูกอธิบายหรือจำกัดความตามเหตุตามผล (rationality) ของแต่ละคณะด้วยเช่นกัน
ทุกวันนี้ถึงแม้แต่ละคณะจะมีตัวตนของตนเองค่อนข้างสูง มีความเป็นปัจเจกที่ข้นเข้ม แต่ข้าพเจ้าก็ยังมองว่า ทั้งหลายทั้งปวงนั้นยังคงมีศูนย์รวมที่เป็น มมส อยู่อย่างไม่ขาดหาย มีกิจกรรมภาพรวมอันเป็นประเพณีให้สืบและสร้างร่วมกันในทุกปี ซึ่งทุกคณะก็ล้วนให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน ขับเคลื่อนความเป็นคณะเข้าสู่ศูนย์รวมได้อย่างกลมกลืน
จะมีบ้างแหละที่ว่าความกลมกลืนนั้น ช่างสุดแสนที่จะเป็นอัตลักษณ์อันหลากหลายตามบุคลิกของแต่ละคณะ แต่ความหลากหลายที่ว่านี้ก็เสมือนความกลมกล่อมของการเสพกิจกรรมของนิสิตนั่นแหละที่สามารถเลือกสรรสัญจรเสพได้ตามเสรีนิยมของแต่ละบุคคล
ที่สำคัญหลายท่านคงมองในมุมที่ไม่ต่างไปจากข้าพเจ้านักว่ากิจกรรมของแต่ละสโมสรนิสิตคณะนั้น ได้สะท้อนภาพหรือฉายให้เห็นภาพ “ตัวตน” ของแต่ละคณะได้อย่างแช่มชัด ! เริ่มต้นจากกลุ่มดั้งเดิมอันเป็น “รากเหง้า” ของสถาบันแห่งนี้ ย่อมหมายถึงคณะศึกษาศาสตร์ กิจกรรมของบรรดาว่าที่ “คุณครู” ของแผ่นดิน ทั้งหลายก็มักเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับศาสตร์สาขาของคณะ มีชมรมในสังกัดที่เกี่ยวกับกิจกรรมการศึกษาและเด็กนักเรียนสืบมาจนปัจจุบัน อาทิ ชมรมไทสร้างสรรค์ ชมรมครูอาสา นิยมชมชอบกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ด้านการเรียนการสอนในรูปของการผลิตสื่อ สอนหนังสือ สร้างสนามกีฬา อบรมจริยธรรม คุณธรรมแก่เด็กนักเรียน เป็นต้น
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งยุค มศว มค. นั้นจะมีชมรมคุรุทายาทสังกัดองค์การนิสิต แต่เบ้าหลอมถูกสร้างขึ้นมาจากบรรดานิสิตคณะศึกษาศาสตร์ทั้งสิ้นในทำนองคล้ายกันนี้ คณะพยาบาลศาสตร์ ก็มีชมรมส่งเสริมสุขภาพที่ขับเคลื่อนกิจกรรมในแบบฉบับที่สันทัดและจัดเจนของตนเอง พบเห็นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพพลานามัยทั้งโดยอิสระและจับมือร่วมใจกับองค์กรอื่น ๆ ซึ่งก็มักจะถูก “จีบ” ไปร่วมกิจกรรมอยู่ต่อเนื่องร่วมกับชมรมอาสาพัฒนา พรรคชาวดิน พรรคพลังสังคม ฯลฯ
ในขณะที่คณะวิทยาศาสตร์ที่แต่ก่อนข้าพเจ้าเคยขนานนามว่าเป็น “มหาอำนาจกิจกรรม” นั้นก็มีชมรมหลายองค์กรที่สะท้อนตัวตนของตนเองชัดเจนและต่อเนื่อง นับจากชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่รวมตัวกันมาจากกลุ่มสาขาชีววิทยาและสานต่อกันมาจากยุค มศว มค. ซึ่งในช่วงหนึ่งชมรมนี้ดูเหมือนจะรุ่งเรือง มีบทบาทสำคัญอยู่แถวหน้าพอสมควร ดังจะเห็นได้จากการได้รับงบประมาณจัดสรรจากทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบัน คือ สกอ.) ทั้งที่ส่วนใหญ่จะเป็นองค์กรหลักและสังกัดองค์การนิสิตเท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนจากส่วนนี้ และกิจกรรมที่กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรก็คือ การเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ อบรมเยาชนรักษา รวมทั้งการอนุรักษ์ (บวชป่า) เป็นสำคัญ
และนัยสำคัญยุคหลังพยายามเหลือหลายที่จะกระโดดเข้ามาสังกัดองค์การนิสิต แต่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ เพราะต้องการปักหลักสร้างฐานอันเป็นรากเหง้าของตนเองที่คณะต่อไป
ข้ามฟากจากกลุ่มศาสตร์สาขาอันเป็นวิชาการและมาสู่สายศิลปะศิลปินกันบ้าง
ข้าพเจ้ามองว่าในยุคนี้คงไม่มีใครเกินคณะสถาปัตย์ฯ เป็นแน่(นอกเรื่อง - เสียงกลองอันเผ็ดร้อน รุ่มเร้า ผนวกกับถ้อยคำที่ดิบเถื่อนจากเพลงบางเพลงตามสไตล์ศิลปินมักจะสะกดใจให้เพื่อนต่างคณะสงบนิ่ง จังงัง ประหนึ่งต้องมนต์ปานนั้น !
ในอดีตไม่มีใครปฏิเสธว่า สาวสวยต้องคณะมนุษย์ แต่ในโลกไอทีสวยแบบบูรณาการสีสันทันสมัยต้องยกนิ้วให้สาวสวยจากคณะวิทยาการ
เช่นเดียวกัน หนุ่มหล่อมาดเข้มในอดีตรางวัลนี้ตกเป็นของคณะเทคโนฯ และวิทยาศาสตร์อย่างไม่ผิดเพี้ยน
ตรงกันข้ามทุกวันนี้โลกเปลี่ยน รสนิยมเปลี่ยนไปตามโลก หนุ่มหล่อมาดเซอร์ ผมยาวที่สาว ๆ กล่าวขานถึงข้าพเจ้าก็ได้ยินแว่วมาว่าเป็นหนุ่มสถาปัตย์ฯ ที่มักจะผูกไทด์ ใส่รองเท้าผ้าใบ นั้นเอง (ทั้งหมดนี้จะจริงเท็จแค่ไหน ก็เป็นแต่เพียงบทสังเกตการณ์ของข้าพเจ้าเท่านั้น)อย่างไรก็ตามเหตุที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะกล่าวถึงคณะสถาปัตย์ฯ เป็นมุมมองในเรื่องกิจกรรมนิสิตเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะการพยายามดำเนินกิจกรรม “สถาปัตย์สัญจร” อย่างต่อเนื่องสืบมาในระยะหลัง
กิจกรรมที่ว่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมของชาวสถาปัตย์ฯ ที่ครบครัน ซึ่งเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังเคยดูแลด้านกิจกรรมก็เคยเสนอขออนุมัติงบสนับสนุนกิจกรรมนี้ไม่น้อยกว่า ๒ - ๓ ครั้ง เพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่นำความรู้ลงสู่ชุมชน โดยเฉพาะเยาวชนนักเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีโอกาสสัมผัสกับกิจกรรมทางศิลปะ ซึ่งข้าพเจ้ามองว่าผู้จัดสามารถจัดกิจกรรมนี้ได้อย่างไม่อึดอัดนัก เพราะเป็นการนำทักษะจากศาสตร์สาขาที่เรียนมาประยุกต์ในรูปกิจกรรม ซ้ำยังสามารถสร้างสรรค์บรรยากาศสนุกสนานตามแบบศิลปินได้อย่างไม่ยากเย็น
โดยเฉพาะในช่วงหลังนี้กำลังเป็นที่จับตามองในเรื่องของ “ละครเวที” ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเอกลักษณ์และตัวตนหนึ่งของชาวสถาปัตย์ไปแล้ว
ขณะที่องค์กรอื่น ๆ ที่จัดกิจกรรมในแนวศิลปะและศิลปินเช่นนี้ เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่สานต่อความต่อเนื่องอย่างที่ควรจะเป็น องค์กรบางองค์กรในบางคณะยุบตัวไปตามเงื่อนไขการจัดกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็น ชมรมดนตรีสากล ชมรมศิลปะ ชมรมสื่อสร้างสรรค์ เป็นต้น
ท้ายที่สุดเรื่องเล่าของข้าพเจ้า อาจไม่สามารถบอกเล่าหรือบ่งชี้ประเด็นแนวคิดที่ลุ่มลึกอะไรได้ แต่ก็พยายามที่จะบอกเล่าในฐานะผู้สังเกตการณ์ว่า กิจกรรมขององค์กรระดับคณะนั้น ย่อมมีเอกลักษณ์ ตัวตนของตนเองแตกต่างกันออกไปตามบริบทวัฒนธรรมของแต่ละองค์กร ซึ่งมันอาจจะหมายถึงทางเลือกหนึ่งของกิจกรรมนิสิตอันเป็นรสชาติชีวิตของชาวปัญญาชนได้ เฉกเช่นกับกิจกรรมที่ผลิตออกจากวัฒนธรรมเดิม ๆ ขององค์กรบริหารหลักของมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วยเติมเติมสีสันบรรยากาศให้น่าสนใจและหลากหลายทางเลือก รวมทั้งการเป็นเสมือนเวทีให้นิสิตนั้น ๆ ได้สามารถถ่ายเทตัวตนของตนเองลงสู่กิจกรรมนั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่ภายใต้เงื่อนไขของวัฒนธรรมตนเอง
และข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่า เหมาะสมแล้วที่มีการยกฐานะให้สโมสรนิสิตได้มีอำนาจในการจัดกิจกรรมและควรพิจารณางบสนับสนุนกิจกรรมหลักของคณะที่สะท้อนความเป็น“ตัวตน” ขององค์กรนั้น ๆ อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยปล่อยให้เขามีอิสระในตัวตนของเขาและเพียรบอกเล่ากรอบวัฒนธรรมที่ต้องยึดปฏิบัติหรือบูรณาการเพื่อคงไว้ซึ่งภาพรวมของสถาบัน
มิใช่ คิดที่จะล้มเลิก หรือยุบเลิกชมรมหรือองค์กรนิสิตในระดับคณะไป ดังที่เกจิอาจารย์บางท่านกำลังส่งเสียงมา
เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการทำลายหรือบั่นทอน “ตัวตน” ของคณะ และปิดกั้นทางเลือกในสายธารกิจกรรมด้วยเช่นกัน ...........คุณแผ่นดิน ครับ
คงมีเวลาบ้างแล้วนะครับ
กิจกรรม กลุ่ม ชมรม ในรั้วมหาลัย เป็นการแสดงออกของนักศึกษาที่อิสระ (มาก) ในความคิดของผม อิสระแบบนี้หละที่ผมชอบ เพราะที่นี่เป็นพื้นที่เรียนรู้ เรียนรู้ตนเอง สังคมไปด้วยกัน
แต่ละคณะจะสุดโต่งและเรียบง่ายขนาดไหนนั้น ตามบุคลิก แต่ผมก็ชอบความต่าง
กิจกรรมให้เกิดชีวิต ชีวาในมหาวิทยาลัย
อีกนัยหนึ่ง อาจเป็นทางออกของนักศึกษาที่เบื่อแล้วกับระบบการเรียนที่ซ้ำซาก และน่าเบื่อหน่ายด้วยการท่อง การเรียนที่ไม่ต่างจากมัธยม(ในบางคณะ)
ยังไงก็ตาม กิจกรรมในมหาวิทยาลัย ช่วยสร้างคนครับ
นานาจิตตังนะคะ แต่กิจกรรมที่หลากหลายทำให้นิสิตนักศึกษาได้พัฒนาตนเองตามความชอบและศักยภาพของตนเอง เรียนรู้ตนเอง เรียนรู้ผู้อื่นและเรียนรู้วิถีชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงค่ะ