ระบบการเรียนที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้เรียนมีระดับการเรียนรู้ต่ำ


การจัดหลักสูตรที่ระบบการสอนปกติทำให้เขาเป็นผู้เรียน “ชายขอบ” ทั้งๆที่เขาอาจเป็นเพียงผู้มีลักษณะของ “พหุปัญญา”

เมื่อวานนี้ (๒๐ มกราคม ๒๕๕๐) ผมได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกับทีมงานของท่านขุนพลเม็กดำ หลังจากการประชุมกับนักศึกษามหาชีวาลัยแบบครบทีมเป็นครั้งแรก ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา

 

ประเด็นแลกเปลี่ยนของกลุ่มเม็กดำก็คือ เขาต้องการสร้างกระบวนการสอนที่สามารถช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของกลุ่มนักเรียนที่มีระดับการเรียนรู้ค่อนข้างต่ำ ที่มักจะหลีกเลี่ยงการเรียนในชั้นเรียน ให้สามารถเรียนรู้ได้ในระดับที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำได้

 

จากข้อสังเกตและการลองทำในเบื้องต้น พบว่า ความสนใจ และการเรียนรู้ของเด็กเหล่านี้จะแตกต่างจากลุ่มผู้เรียนที่มีผลการเรียนตามหลักสูตรค่อนข้างดี ทั้งประเด็นความสนใจ ความถนัด และความสามารถในการเรียนรู้

 

กล่าวคือ เด็กกลุ่มที่มีผลการเรียนในระบบปกติต่ำนี้ หลายๆคน มีความสามารถพิเศษค่อนข้างมาก และสามารถทำกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ได้รวดเร็ว และสามารถกลับมาเรียนรู้ในกลุ่มสาระและวิชาต่างๆ ได้ใกล้เคียงกับกลุ่มเดิม

 

และบางคนก็สามารถเรียนรู้สาระต่างๆแบบเทียบเท่ากับกลุ่มผู้เรียนดีได้ แต่ต้องใช้เส้นทางแห่งการเรียนรู้แบบโครงงานต่างๆ ไปเรื่อยๆ แบบมีแผนการนำเข้าสู่ประเด็นสาระการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ ออกมาเป็นขั้น แบบศิษย์มีครู เลยละครับ

ทั้งสองประเด็นนี้เป็นสาระที่น่าสนใจมาก ทางกลุ่มเม็กดำจึงขอหารือว่าจะลองทำงานดังกล่าว ภายใต้กรอบงานรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการจัดหลักสูตรทางเลือกขึ้นมา เพื่อผู้เรียนที่ระบบการสอนปกติทำให้เขาเป็นผู้เรียน ชายขอบ ทั้งๆที่เขาอาจเป็นเพียงผู้มีลักษณะของ พหุปัญญา แตกต่างไปจากนักเรียนกลุ่มที่เรียนดีเท่านั้น ก็ได้

 

พอได้โอกาส ผมจึงได้แสดงความเห็นว่า

 

·        ระบบการศึกษาในปัจจุบัน เราเรียนแบบย้อนศร โตแล้วเรียนลัด สวนทางกับหลักการปกติของการเรียน (โดยดูต้นแบบวิธีการเรียนรู้ของนักวิทยาศาสตร์เอกของโลกทั้งหลาย) ที่ควรเริ่มจากการเผชิญปัญหา  การค้นหาสาเหตุของปัญหา หาแนวทางการแก้ปัญหา และหาวิธีการแก้ปัญหา ตามหลักอริยสัจสี่ ที่เป็นหลักปฏิบัติที่ต้องทำให้ครบ และเป็นขั้นตอน จนได้คำตอบออกมาเป็นทฤษฎีต่างๆ ให้เราได้มาใช้เรียนลัด (โดยไม่เรียนรู้??) กันอยู่ในปัจจุบัน

 

·        การสอนแบบย้อนนำเสนอ แบบกลับไปกลับมา โดยการนำทฤษฎีต่างๆ มาสอนก่อนนั้น เป็นการเริ่มต้นจาก อริยสัจสี่ ในข้อ ๓ นิโรจ อาจใช้ได้กับผู้เรียนกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถในการจินตนาการสูงพอ ความจำมากพอที่จะเรียนได้ หรือ  มีความสามารถจดจำคำพูดต่างๆได้ดี แม้จะไม่เข้าใจก็จำไปตอบข้อสอบได้แบบนกแก้วนกขุนทอง จนได้ เกรดสี่ และหรือ เกียรตินิยมกันไปมากมาย

 

·        จึงทำให้สามารถแบ่งประเภทผลการเรียนออกได้เป็น ๔ แบบใหญ่ๆ (คล้ายกับบัวสี่เหล่า ตามหลักของพระพุทธเจ้า นั่นแหละครับ) คือ

 

1.     สมองดี จินตนาการดี เรียนเริ่มต้นอย่างไร จบตรงไหน ยอกย้อนไปมาอย่างไร ก็เรียนได้เข้าใจหมดทุกกระบวนท่า

 

2.     ความจำดี สอนมาแบบไหนก็จำได้หมด ตอบข้อสอบแบบวัดการท่องจำได้หมดทุกเรื่อง แต่พอวัดความเข้าใจ กลับตอบไม่ได้ และสอบตกอย่างไม่เป็นท่า เพราะจะตอบไม่ได้เลย

 

3.     สมองแบบธรรมดา ต้องค่อยๆจัดระเบียบความรู้ตามขั้นตอนของอริยสัจสี่ จึงจะเรียนรู้ได้ (โดยอาศัยหลักการของการใช้ปัญหาเป็นแกนนำการเรียนรู้) เรียนด้วยทักษะ ความรู้ฝังลึก ไม่มีวันลืม แต่ก็อาจมีดีกรี ตามระดับสมอง และพหุปัญญาที่แตกต่างกัน

 

4.     สมองไม่ค่อยดี จัดกระบวนการเรียนรู้แบบไหนก็ เรียนรู้ได้ช้า และลืมง่ายเช่นเดิม

 

ตามหลักวิชาสถิติ เขาว่า คนกลุ่มแรก และกลุ่มสุดท้ายมีไม่มาก

  

และอาจกล่าวได้ว่า กลุ่มแรกยังไงก็รอด และกลุ่มสุดท้ายนี่รอดยากในสถานการณ์ส่วนใหญ่ คงต้องปล่อยไปก่อน

  

ทีนี้ก็เหลือกลุ่มส่วนใหญ่ คือ กลุ่มกลางๆ แบบที่ ๒ กับ ๓ ที่พบว่า แบบที่สอง จะถูกยกย่องว่า เรียนดี และกลุ่มที่สาม จะถูกตราหน้าว่า เรียนแย่

  

ท่านผู้รับผิดชอบการศึกษาของชาติทั้งหลาย ลองไต่ตรองอีกสักครั้งได้ไหมว่า

สิ่งที่ท่านใช้ยกย่องหรือ ตราหน้าผู้เรียนนั้น ถูกต้องที่สุดหรือยัง

  

ถ้ามีส่วนไม่ถูกต้อง และบังเอิญมาเกี่ยวข้องกับลักษณะข้อด้อยของ

  • การจัดการเรียนรู้ (เน้นสอนให้ท่องจำแข่งกัน เพียงอย่างเดียว) และ
  • การวัดผลที่ผิดวัตถุประสงค์ (วัดความจำแทนการเรียนรู้)
จนทำให้เสียศักยภาพการพัฒนาคนของชาติ แล้วละก็ 

เราลองมาคิดแก้ไขกันบ้าง ดีไหมครับ ตามลักษณะ คนดี ตามคำพังเพยของไทยว่า คนดีชอบแก้ไข

 

และพยายามหลีกเลี่ยงการเป็น คนจัญไรชอบแก้ตัว ดีไหมครับ

  ขอบคุณในความเห็น และเป็นแนวร่วมของการแก้ไขปัญหาการศึกษาของชาติครับ


ความเห็น (2)

กราบคารวะ 5 ไห เลยครับท่านเล่าฮู 

   เจี๊ยะเจ้ยกันที่ละจอกสองจอกไม่สมควรกับที่ท่านเล่าฮู ฟันธง !! ฉั๊วๆ..เลือดกระจายเต็มพื้นพสุธา ..ฟัน ลงกลางจุดเน่าของปัญหา

  ผมว่าเรื่องพวกนี้ ท่านนักการศึกษา และครูดีๆทั่วประเทศต่างทราบซึ้งกันทั้งนั้น  แต่จะแก้อย่างไรนี่ อาจจะมีผู้เสนอและลองทำมาบ้าง

  แต่>>อีกหลายแต่ๆๆ..ไม่ตรง ยังสับไม่แม่น หาแนวร่วมไม่ได้ ทำไปหนักไปจนใจฝ่อ ..เหนื่อยหน่ายต้านพวกจระเข้ขวางคลองไปไหว ก็วางมือวางใจ..ช่างเม่..มัน ทุกอย่างก็เลย อาวสาน

ถ้ายกมีดปังตอขึ้นสุดแขนแล้วสับโป้งลงกลางเขียง ถ้าเขียงบางก็อาจขาดเป็น2 ท่อนแบบท่านเล่าฮูชี้แนะ ป่านฉะนี้ มีหรือจะโรยรา..

  อีกกลุ่มหนึ่งยกดาบค้าง เหมือนอนุเสาวรีย์พระเจ้าตากสินที่ธนบุรี ยกดาบไว้หลายปีดีดัก เคยมีข่าวว่าคนมาขะโมยดาบไป ไม่ทราบว่าตามคืนมาได้แล้วหรือยัง

  ผมอยากเห็นการตลุมบอลการศึกษา แบบหนังอิงพงศาวดาร เรื่องพระนเรศวร เจอหน้าตัวก่อกวนก็ยกง้าวขึ้นสุดหล้า ฟันฉั๊วะ ลงเลือดกระจายขาดสพายเล่ง ..

  โรคทางการศึกษาอาการย่ำแย่ถึงขีดสุด ระบบยังจะเลือกวิธีโปรยยาหม่องยาดม มาแก้ไข มันมีแต่ทรุดกับทรุด การปฏิรูปการศึกษาเป็นอย่างไรก็รู้ๆกันอยู่ ยิ่งลูบแข้งลูบขา เด็กตาดำๆยิ่งอนาคตชำรุด

  ผมคิดว่าครูดีๆอึดอัดกันทั่วประเทศ โดยเฉพาะครูประจำการ ครูผู้สอน หายใจไม่ทั่วท้อง ยกเว้นผู้บริหารที่ได้รับการโอ๋ให้ทำผลงาน ยกวิทยะฐานะเป็นซี9-20  ครูผู้สอนถูกให้ไปเสียเวลากับเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน หลุมอุกาบาตในใจเด็กจะเพิ่มสัดส่วนเด็กกลุ่มที่3 มากขึ้นๆ

   กลุ่มนี้โตขึ้นจะไปไหน บางส่วนไปอยู่ในบ้าน เมตตา อุเบกเบกขา วันดีคืนดีก็พากันแหกด่านออกมาให้ไล่ตามกันอุตหลุด บางส่วนไปตั้งแก๊งค์ป่วนในสังคม ฉุดคร่าอนาจาร เสพยา ติดเกมส์ติดสุราอบายมุข ถ้าปล่อยไว้โตขึ้นก็จะสังกัดค่ายป่วนเมือง ที่คสช.ประกาศว่าวันนี้มีอยู่ 4,-5,000 คน ตอนนี้ก็ฉายแววออกมาแล้ว เด็กประกอบระเบิด ทดลองบึ้มเล่น ที่เผาๆกันนั้นก็ไม่ทราบว่ามีเด็กที่ว่านี้หรือเปล่า

  เรื่องนี้  ถ้าผู้รับผิดชอบการศึกษาระดับสูงคิดและทำอย่างจริงจัง โดยสนับสนุนให้โอกาสและปัจจัยที่ครูและชุมชนทั้งโรงเรียนเขาอยากจะลงมือผ่าตัดการศึกษาด้วยวิธีของเขาเอง นอกจากเปิดไฟเขียว ให้กำลังใจ ให้ปัจจัยสนับสนุน เรื่องก็จะรุดหน้าไปได้ทันที ด้วยงบประมาณจำนวนที่อุจาระเล็บ (ไม่กี่ล้านบาทหรอกต๋อย) ผมอยากเห็นครูโรงเรียนนี้แข่งกันทำความดีเพื่อการศึกษา

  โรงเรียนในฝัน เรายังจัดและสนับสนุนได้  ทำไมโรงเรียนในโลกของความจริง ไม่ทดลองจัดดูบ้างละ หรือทำเป็นแต่เรื่องเสมือนจริง 

อ้าว!  หมดไปหลายจอกแล้วเล่าฮู บาย บาย ..

ผมว่าเราจะต้องควัก "เอาความจริงใจ" และ "หัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ เพราะแค่เพียงคำพูดไม่พอ" แล้วค่อยคุยกันต่อดีไหม

ผมขอลอกเพลงของคุณ "ใหม่ เจริญปุระ" มาใช้สักหน่อยนะครับ

เผื่อครูบาจะได้มีเพลงแกล้มการร่ายกระบี่.....

 อีกสักหนึ่งเพลงครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท