ทำงาน...งกๆ


ทำงานๆๆ....หาเงินๆๆๆๆ

         ฉันเรียนเฉพาะทางด้านรังสีวิทยาทั่วไป ก็สนุกดีค่ะ อาจารย์ทุกท่านได้ช่วยเคี่ยวเข็ญฉันจนจบมาได้ ฉันระลึกถึงพระคุณอาจารย์ทุกท่านเสมอ

          ฉันไปใช้ทุนที่จังหวัดพิจิตรค่ะ ตอนนั้นงานด้านx-ray ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนหมอx-ray ที่มีอยู่สองคนรวมฉันแล้วนะคะ ที่นั่นยังไม่มี เครื่องCT SCAN(เครื่องเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์)ในรพ.รัฐ ไม่มีการตรวจangiography(ตรวจเส้นเลือดด้วยการฉีดสารทึบรังสี) คนไข้ที่รพ.จังหวัดพิจิตรมีพอสมควรค่ะ

          งานด้านนี้ส่วนใหญ่คืองานวินิจฉัยโรค ซึ่งมีทั้งใช้x-ray(รังสีเอ๊กซ์) ultrasound (คลื่นเสียง) MRI(ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า)เมื่อหมอซักประวัติ ตรวจคนไข้แล้ว อาจจะดูผลเลือดร่วมด้วย แล้วคิดถึงความผิดปกติที่อวัยวะไหนก็จะส่งต่อมาตรวจแผนกนี้ต่อค่ะ เช่นสงสัยว่าอกหักเอ๊ยกระดูกหัก โรคทางกระดูกก็ส่งมาx-ray กระดูกส่วนนั้น สงสัยโรคทางปอดหรือหัวใจโตก็chest x-ray คือเอ๊กซเรย์ปอดนั่นแหละค่ะ แต่ถ้าจะดูพวกลำไส้ก็ใช้กลืนแป้งทึบรังสีในกรณีดูลำไส้ส่วนต้น(UGI STUDY) ถ้าลำไส้ส่วนปลายก็สวนแป้งเข้าไป(barium enema)  ถ้าตรวจอวัยวะที่เป้นเนื้อๆหรือน้ำๆเช่น หัวใจ ตับ ม้าม ไต ถุงน้ำดี ตับอ่อน มดลูกรังไข่ กะเพาะปัสสาวะ ต่อมทัยรอยด์ ลูกอัณฑะ เส้นเลือด เราก็ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์(ULTRASOUND) เป็นต้น  ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วเวียนหัวอนุญาตให้กินเส้นเล็กต้มยำใส่เครื่องในครบ 1 ชามค่ะ

          จบใหม่ๆไฟแรงไปอยู่ที่มีคนไข้น้อย ฉันเลยหงอยไปพอสมควร  ตอนนั้นยังขยันค่ะ อายุยังน้อย แถมความงกก็มาก อยากมีรายได้พิเศษเลยหาลำไพ่พิเศษจากอยู่เวรนอกเวลาที่รพ.เอกชน แต่ที่พิจิตรมีเวรที่รพ.เอกชนน้อย ความงกของฉันเยอะเลยนั่งรถกลับบ้านไปอยู่เวรที่พิษณุโลกด้วย โฮ๊ยได้ตังมาเยอะเลยค่ะคุณขา

          ต่อมามีพี่หมอคนนึงที่แผนกx-ray รพ.พุทธชินราชเสียชีวิต ตำแหน่งจึงว่าง ฉันเลยได้ย้ายกลับบ้าน เลยยิ่งสนุกใหญ่ ทำงานๆหาเงินตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต ฉันเคยอยู่เวรสองรพ.ซ้อนกัน แถมเปิดคลีนิคด้วยอีกนะ ขับรถเดินสาย คล้ายๆร้องเพลงเลยเนอะ สนุกระเริงกับการหาเงิน ได้เงินก็เอาไปซื้อรถ ซื้อของที่อยากได้ ตอนนั้นรู้สึกเหมือนโลกอยู่ในมือเรายังไงไม่รู้  555

             

          จนเมื่อฉันป่วยเป็นไข้ ลุกแทบจะไม่ไหวต้องโทรไปแลกเวร ฉันตระหนักเลยว่า ตอนคนเราไม่สบายนี่ขอแค่หาย สบายดีพอแล้ว เงินทองเอามากองตรงนั้นก็ไม่เอา เริ่มได้สติ ทำงานอะไรหนักหนานะ นั่นแหละถ้าไม่ป่วยฉันคงบ้างานบ้าเงินมากกว่านี้  คุณเคยติดงานไหม พวกหมอๆเป็นกันเยอะ ถ้าอยู่ว่างๆมันรู้สึกไร้ค่าต้องออกไปรับจ๊อบอยู่เวร เปิดร้าน

          ฉันเริ่มเพลาๆงานลง เพราะทั้งงานหลวงงานราษฏร์นัวเนียกันไปหมด ตอนนี้งานมากไปก็เป็นทุกข์เพราะร่างกายเริ่มไม่ไหว อดนอนสะสมมานาน ตอนนั้นงานน้อยก็เป็นทุกข์  เฮ้อหาความพอดีนี่ยากจัง

          เวลาเหนื่อยฉันก็เที่ยวกับเพื่อน ไปเทคไปผับตามประสาคนทำงานค่ะ ดื่มเหล้าบ้าง เอ้อบางทีก็ดื่มมากเหมือนกัน ตอนเที่ยวนี่สนุกจัง ฉันติดใจในบรรยากาศของผับ ความสนุกเวลาเริ่มเมาเพราะเรื่องอะไรที่เราคุยกันมันจะสนุก ขำขำไปหมด แต่พอตอนเลิกราเช็คบิลจากร้าน ฉันจะรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่งานเลี้ยงเลิกรา ความสุขมันอยู่ไม่นานเลย พอตื่นขึ้นมาก็ทุกข์สนัดแหละค่ะ แฮงค์สิคะ พร้อมกับบอกตัวเองว่า จะไม่กินอีก แต่พอเพื่อนมาชวนก็ใจง่ายไปกับเพื่อนอีกจนได้

                

         มีวันนึง เพื่อนฉันมันตื่นมาถามว่า เฮ๊ย นิดเมื่อคืนเรากลับบ้านยังไง ฉันสะดุ้งเลย หนาวไปทั้งตัว ทำไมเพื่อนถามยังงี้ เพราะเมื่อคืนเพื่อนเป็นคนขับรถพาเราทั้งคู่กลับบ้าน แล้วนี่แสดงว่ามันเมามากจนจำเหตุการณเมื่อคืนแทบไม่ได้เลย ฉันประมาทในชีวิตอีกแล้ว ดีนะที่เมื่อคืนไม่เกิดอุบัติเหตุ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นพ่อกับแม่คงทุกข์มาก   ฉันขอโทษต่อไปนี้ฉันจะไม่ประมาทอย่างนี้อีกแล้ว

         

 

คำสำคัญ (Tags): #บ้างาน#บ้าเงิน
หมายเลขบันทึก: 73693เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2007 01:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 16:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

โอ้โฮ......

 

อึ้ง ๆ  ๆ ไปเลย คุณหมอ อนิศราที่รัก

 

ทำไมถึงได้เขียนดีอย่างนี้?

 

เขียนดีวันดีคืน  อย่างนี้อีกหน่อยปริ๊นท์ออกมารวมเล่ม

 

แล้วทำเป็นพ้อคเก้ตบุ๊คได้แล้ว

 

(จะได้เอาเงินไปสนับสนุนคนให้ได้มาปฏิบัติธรรมไง ดีไหม)

 

เนื้อหาเอาไปเลยเต็มร้อย

 

ลีลาเอาไปร้อยยี่สิบ  ฮิ ๆ

 

ขึ้นมาก็ว่าด้วยการรักษาอาการอกหักเลยเนี่ยนะ คุณหมอที่รัก  ฮิ ๆ

 

เพิ่งจะรู้ว่าอกหักต้องถูกส่งไปเอ๊กซเรย์ก่อนด้วย  ฮิ ๆ  

 

ต้องกลืนแป้งด้วยหรือเปล่าคะ?  ฮิ ๆ ๆ

 

แถมมีการพูดเปิดช่องให้อีกด้วยว่า  ถ้าอ่านแล้วเวียนหัวอนุญาตให้ไปกินเส้นเล็กต้มยำ ฮิ ๆ

 

หารู้ไม่เราเพิ่งกินมาม่ามาก่อนมาตอบบล๊อกหมอเลยนะนี่

 

ก็เลยสะดุ้งไปเล็กน้อยว่ารู้ได้ไง โฮะ ๆ

 

เล่าได้เห็นภาพมากค่ะ  โดยเฉพาะตอนที่บอกว่า ด้วยความงก  ก็นั่งรถกลับไปรับเวรที่พิษณุโลกด้วย

 

โิ้อ้โฮ....

 

อือ...นับถือคุณหมอจริง ๆ ค่ะ

 

นับถือที่มาเล่าน่ะนะคะ

 

มีน้ำใจมาก  ที่นำเรื่องนี้มาเล่าให้เป็นธรรมะให้พวกเราได้เรียนรู้

 

ถึงการทำงานของใจมนุษย์

 

ก่อน และ หลัง ไปปฏิบัติธรรมน่ะ  เรื่องของเรื่อง

 

จิตของมนุษย์มันมหัศจรรย์พันลึกอย่างนี้เองนะคุณหมอเนอะ

 

ฟังหมอเล่าแล้วก็ตั้งใจคิดตามไปด้วย

 

เพราะถึงแม้ว่าอาชีพตัวเองตอนนั้นไม่ได้ทำเงินอะไรมากมายเหมือนอาชีพหมอมั้ง  แต่ก็มีช่วงรุ่งเรืองอยู่

 

แล้่วก็มีช่วงเที่ยวสั้น ๆ นะ

 

บอกแล้วว่าดวงเรามันคล้ายกานนนนนน   ฮิ ๆ

 

(แต่เกิดสิงหาค่ะ  ไม่ใช่ ก.พ.)

 

แล้วก็่ช่วงเที่ยวสั้น ๆ  ก็ไม่ได้ดื่มหนักหนาจนแฮ้งค์ด้วย  

 

แต่่ว่าเหนื่อยเหมือนกัน  

 

แล้วก็ป่วยด้วย  เพราะว่านอนน้อย (มั้ง?)

 

ที่ว่าเที่ยวสั้นนั้นคือน้อยมาก ๆ เลย  ประมาณ ปี สองปี ไม่ถึงดี

 

ศุกร์ เสาร์  แค่นั้น

 

เพราะตอนเด็กก็ไม่เคยเที่ยว  คุณแม่หวงค่ะ ฮิ ๆ

 

ก็ดีไปอย่าง

 

อยู่มหาลัยไม่ได้เที่ยวเลย  

 

ทำงานใหม่ ๆ ก็ไม่ได้เที่ยวเลย

 

สงสัยเป็นเพราะเที่ยวตอนเริ่มเห็นโลกมาพอควรแล้วด้วยมั้ง  เลยยิ่งเบื่อเร็ว

 

เป็นคนขี้เบื่อน่ะหมอ

 

แล้วตอนนั้นรู้สึกเหมือนกันว่า  ตอนเที่ยวดูเหมือนจะสนุก

 

แต่พอตอนแยกย้ายกลับ ก็ไม่สนุกอีกแล้ว  

 

ความสนุกมันจบแล้วน่ะ  ว้า....แย่จริง

 

มันเป็นความรู้สึกนั้นน่ะ

 

เป็นความรู้สึกไม่ชอบความรู้สึกแย่ ๆ ตอนนั้น

 

ส่วนเรื่องที่คุณหมอบอกว่าเพื่อนถามว่ากลับยังไงนั้น  

 

ตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์ขนาดนั้น

 

ยังนับว่าโชคดี

 

เพราะอย่างที่บอก

 

ไม่เคยหนักขนาดนั้น

 

เพราะไม่เน้นดื่มค่ะ  เน้นเต้นระบำ  ฮิ ๆ

 

เท้าไฟนะ ขอบอก  โฮะ ๆ

 

สมัยนี้อาจเป็นลมได้  คงต้องดื่มยาหอมแ้ล้วเต้น ท่าจะเหมาะ

 

แต่มีเพื่อนคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟัง  เรื่องคล้ายที่หมอเขียนมากเลยล่ะ

 

เป็นเพื่อนผู้ชาย  เขาเล่าว่า 

 

เพื่อนเขาอีกคนหนึ่งไปเที่ยวเมามาก อาการนี้น่ะ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น  ก็โทร.กลับมาขอบอกขอบใจ

 

ที่อุตส่าห์ขับไปส่งที่บ้าน

 

ทางนี้ก็บอกว่า  เฮ้ย...กูเปล่านะ เมื่อคืนมึงขับกลับไปเอง....!  แป่ววววว

 

ไม่รู้่ป่านนี้หายตกใจกันหรือยังน่ะค่ะ

 

นี่แหละน้า....

 

เรามานั่งเ่ล่ากันอยู่อย่างนี้ได้

 

ก็บุญเท่าไหร่แล้ว

 

ไม่รู้ว่าชาติไหนในอดีต  

 

เราเคยมีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรมาขนาดไหน

 

ว่าแ้ล้วก็ยกมือสูงท่วมหัว

 

ภาวนา เพี้ยง  

 

ขออย่าให้ลูกช้างต้องเสียสติสัมปชัญญะ

 

ในการตัดสินใจอะไรอย่างนี้เล้ย

 

ขอให้อย่างน้อยมีสติอยู่กับตัว

 

ในที่ทุกสถาน

 

ในกาลทุกเมื่อเทอญ

 

ขอบคุณค่ะคุณหมอ

 

ที่อุตส่าห์ตั้งใจเลือกเรื่องดี ๆ มาเล่ามากมาย

 

ให้ศิษย์ร่วมสำนักได้ตั้งใจอ่านอีกครั้ง

 

ในโอกาสนี้

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร

 

ป.ล. หารูปแมวประกอบเก่งจริง ๆ ให้ตายเถอะ  ฮิ ๆ  

คะ ประทับใจ เรื่องที่คุณอนิศราเล่าคะ....

น้อยคนที่จะเล่าความจริงได้ขนาดนี้

ความรู้สึก การระลึกได้

ทุกประสบการณ์ล้วนมคุณค่า

และคุณอนิศรา ก็เห็นได้ทั้งสองด้าน

เห็นตน  เห็นความว่างเปล่า

น่าสนใจมากคะ  น่าติดตาม....

ปล. ชอบรูปแมว ด้วยจังคะ  เมื่อคืน ที่บ้านก็เห็นแม่แมว

คาบลูกมาให้ชื่นชม 3 ตัวคะ ที่บ้านนี่รวมแล้ว

10 ตัว แล้วคะ รวมแมวจร ด้วยคะ 

สวัสดียามเช้าค่ะคุณหมอ

  • ท่านเขียนได้ดีจริงๆค่ะ อ่านแล้วเพลิน  และสอนใจด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

เอารูปเจ้า ฟูวาริ ของ คุณ จุงกุ มาฝากค่ะ  ฮี่ ๆ

 





เห็นมันทำหน้าสนอกสนใจดี

 

คงกำลังสนใจเรื่องที่คุณหมอเล่า

 

ณัชร

สวัสดีครับ

  เห็นด้วยกับคณ nash ว่าเรื่องเล่าของพี่น่าอ่าน  น่าติดติม  ทั้งสนุกและได้แง่คิดครับ

  ตอนนี้ผมก็กำลังหาตางค์ให้ได้จำนวนหนึ่งเหมือนกันครับ

  ตอนที่ย้ายมาที่นี่ใหม่ๆก็เปิดคลินิกต่อจากเพื่อนที่ไปเรียนต่อครับ  ตอนนี้8 เดือนแล้วครับ

   ช่วงแรกแบบว่า  ขยันมากทั้งง่วงทั้งเหนื่อยแต่ก็อดทนครับเพราะว่าจะได้ตางค์มาปลดหนี้ที่ผ่อนๆๆหลายอย่างตั้งแต่ที่จบมาครับ

    3 เดือนที่ผ่านมาผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้น  คือรู้สึกได้ว่าบางครั้งที่เหนื่อยและง่วงนอน  จนไม่อยากจะได้อะไรแล้วละครับ(จึงปิด  และนอนอิ่มก่อนค่อยว่ากัน)

    ทุกวันนี้ก็เปิดวันละ 2ชม ครึ่งครับ  เอาแบบพอดีๆครับ  คิดว่าคงจะไม่รวยแต่ก็จะไม่ลำบากครับ และก็ค่อยๆผ่อนไปครับ

   สวัสดีค่ะ มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน

      ขอบคุณมากนะคะ ที่เขียนแล้วมีคนมาอ่านแล้วว่า มันได้เรื่องอยู่เหมือนกัน โห ทำให้มีไฟอยากเล่าให้อ่านต่ออีกค่ะ คิดว่าคงจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย(อันนี้เหมือน คำนำในรายงานตอนชั้นมัธยมเลยนะคะ ไม่รู้เดี๋ยวนี้เค้ายังเขียนแบบนี้กันอยู่ไหม อิอิ)

      อ่านที่คุณณัชร ศิษย์ร่วมสำนัก(อืม ฟังดูเหมือนเราเรียนกำลังภายในกะอาจารย์พิชัยและอาจารย์ศิริพร)เล่าให้ฟังถึงเพื่อนผู้ชายแล้วนั่นก็หนาวไปอีกแบบนะคะ คนฟังคงหนาวแทน เค้าใช้รถแบบมีระบบนำทางขับเองได้ป่าวคะ555 ส่วนรูปแมวนี่เป็นรูปเก็บสะสมมานานแล้วค่ะ หมอชอบแมว คิดว่าตัวเองก็นิสัยคล้ายๆแมวด้วย แต่ไม่ชอบเลียขนนะคะ  ฟูวารินี่หน้าเหลือนิดนึงแล้วเนอะ ตัวกลมบ๊อกเลย

      สงสัยคุณดอกแก้วจะชอบแมวเหมือนกันนะคะ เรื่องเล่าของหมอ แฮะๆในด้านที่ไม่ดีนี่ก็อายเหมือนกันนะคะ แต่มาพิจารณาแล้ว เนื่องจากหมอก็เป็นปุถุชน มีทำผิดทำถูกเหมือนคนอื่นๆ ก็เลยตัดสินใจเล่าสู่กันฟังค่ะ

       คุณสิริพรตื่นเช้าจังเลยค่ะ หมอชอบนอนดึกตื่นสาย เขียนบลอกนี่ก็มักจะมีเวลาตอนแถวๆเที่ยงคืนค่ะ ไม่ได้เป็นซินเดอเรลลานี่เนอะ  

       หวัดดีค่ะ น้องหมอสุพัฒน์ ก็ค่อยๆปรับเวลาของเราไปเนอะ พี่ก็ปรับเวลาของพี่ไปเรื่อยๆจนอยู่ตัว สำหรับวัยสาวน้อยขณะนี้ พี่ทำงานวันละ 6 ชม.จ้า แล้วก็ไม่ได้รับอยู่เวรกลางคืนแล้ว อดนอนไม่ค่อยไหวค่ะ ตอนสาวมากๆก็ทำเต็มที่เลยเหมือนน้องแหละจ๊ะ

          

สวัสดีอีกทีนึงค่ะ คุณหมอ,

 

จะแวะมาขอบคุณที่คุณหมอกรุณาแวะไปเที่ยวบล๊อก

 

แล้วก็จะบอกว่า  จริง ๆ แล้วตัวเองก็เคยคิดมานานแล้วว่าไปเรียนวิชากับอาจารย์พิชัยและอาจารย์ศิริพรนี่มันยิ่งกว่ากำลังภายในอีกนะคะคุณหมอ ฮิ ๆ

 

เคยพาเพื่อนไปปฏิบัติหนหนึ่ง  วันแรกที่ถึงวัดห้วยส้มที่พาเข้าไปเก็บกระเป๋าในห้องพัก  มันเกิดอารมณ์ยังไงก็ไม่รู้  บอกเธอว่า  "ยินดีต้อนรับสู่ Hogwarts (รร.ประจำของแฮรี่ พ้อตเต้อร์ น่ะค่ะ)" เพราะมันอารมณ์นั้นจริง ๆ

 

คือมันเป็นเตียงสองชั้นแบบรร.ประจำที่อังกฤษใช่ไหมล่ะคะ 

 

แล้วมันก็ยังเป็นที่ ๆ เราได้ไปเรียนวิชาิที่วิเศษมาก ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้จักว่า "โอ้โห...มีอย่างนี้ด้วยเหรอ..."  

 

หรือว่า "....โห...ร่างกาย หรือว่า จิตใจ เราทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ...."

 

จริงไหมคะคุณหมอ  มันเป็นเรื่องที่สุดแสนจะมหัศจรรย์ยิ่งกว่าเวทมนตร์คาถาใด ๆ ทั้งนั้นแหละ  จิตใจมนุษย์นี่แหละ  เรียนๆ ไปนี่น่ะ

 

เคยเล่าเรื่องนี้ให้อ.ศิริพรฟัง  อ.ขำใหญ่เลยค่ะ  บอกว่าสงสัยต้องไปหาชุดแบบอาจารย์ใหญ่ที่เป็นแม่มดอย่างในหนังใ่ส่  ที่เป็นหมวกมีปีกน่ะค่ะ  ฮิ ๆ ๆ  (นึกภาพอาจารย์ขี่ไม้กวาดประกอบ)

 

ฮิ ๆ  คุณหมอว่าเจ้าฟูวาริหน้ากลมบ๊อก  มันน้อยใจใหญ่แล้ว  เอามือปิดหน้า  งอนคุณหมอดีกว่า  มันบอก ฮึ (แต่มีแอบมอง)

 http://farm1.static.flickr.com/17/20864953_23937e5cda.jpg?

แหะ ๆ เมื่อกี๊รูปไม่มาค่ะ เอาใหม่  สงสัยมัีนจะงอนของจริง

 

 

คุณหมอและหนูณัชร

        อาจารย์จับได้แล้วเคยเกเรจริงๆ ทั้งสองคน นึกภาพไม่ออก

คุณหมอกะหนูณัชร

    อาจารย์แวะมาเยี่ยม จึงจับได้คาบล็อกว่าเคยร้ายอย่างไร แต่นึกภาพหมอเมาไม่ค่อยออก (นึกออกแต่หนูณัชรว่าเวลาเมาจะกลิ้งเป็นปาท่องโก๋ตอนทอดในกระทะอย่างไร)

   ชอบใจแมวของหมอตอนดื่มเบียร์ อาจารย์ว่าเหมือนมันทำท่าสาธุนะ

555 อาจารย์ขา นึกภาพคุณณัชรตอนเป็นปาท่องโก๋ทอดนี่ขำหัวคลอนเลยค่ะ ส่วนหมอตอนเมานี่ไม่รู้ตัวค่ะ แต่เพื่อนบอกว่าเมาแล้วหลับ ยังดีนะคะอาจารย์ไม่ไปหาเรื่องใครเขา ลำบากเพื่อนๆแค่หิ้วปีกกลับหอ เคยมีเพื่อนหลายคนเมาแล้วแปลกๆเช่นบางคนเมาแล้วร้องห่มร้องไห้จนเพื่อนขี้เกียจปลอบ ส่วนอีกคนน่ากลัวค่ะเพราะเมาแล้วหาเรื่องชาวบ้านยังดีที่ตอนนี้เค้ายังมีชีวิตอยู่ค่ะ สองคนนี่เพื่อนจะดูแลไม่ให้กินจนเมา

      แมวตัวนี้เหมือนมันนั่งกำหนดไหมคะ อยากให้เทเยอะๆหนอ ไม่ชอบฟองหนอๆ ฮิฮิ

งอนหนอ ๆ ๆ คุณหมอทำมาขำหัวสั่นหัวคลอน

 

หนูไม่ใช่นักดื่มขนาดกลิ้งเป็นปาท่องโก๋ในกะทะร้อน ๆ อย่างนั้นนะคะอาจารย์  (ฟังแล้วเหมือนกะทะทองแดงวุ้ย น่ากลัว อาจารย์ช่วยอุปมา อุปไมยอันอื่นไม่ได้หรือคะ แหะ ๆ)

 

ปกติหนูมีหน้าที่เป็นคนขับรถพาคนอื่น ๆ ไปส่งบ้านด้วยซ้ำ

 

ก็เลยไม่ค่อยได้ดื่มค่ะ  เน้นเต้นค่ะ  บอกแล้ว  ฮี่ ๆ

 

ดื่มมากไม่สนุกค่ะ  เดี๋ยวไม่สวยด้วย  เน้นภาพลักษณ์ค่ะ ฮิ ๆ  (เห็นอ้วน ๆ อย่างนี้ก็เถอะ)

 

ตอนนี้ไม่เกเรแล้วค่ะอาจารย์  เนอะ คุณหมอเนอะ (หาพวก)

 

 เพราะพวกเราได้ครูบาอาจารย์ดีมาช่วยเขก...เอ๊ยช่วยชี้ทางสว่างให้นั่นเอง (ทำตาปริ๊บๆ ประกอบ)

 

จะว่าไปแล้วก็เริ่มเบื่อ ๆ มาพักใหญ่แล้วก่อนจะมาปฏิบัติธรรม

 

อานิสงส์ต่าง ๆ นานาที่ศีลดี และอื่น ๆ ที่เป็นเหตุปัจจัยรวมกันนั่นเอง  จึงส่งผลให้ได้ไปวิปัสสนากับเขาเสียที 

 

และเจอสถานที่ที่สัปปายะ ๗ ครบเสียด้วย 

 

ดูซิคุณหมอ  อยู่ดี ๆ เราสองคนหาเรื่องโดนจับได้คาหนังคาบล๊อก ฮี่ ๆ  

 

สวัสดีค่ะ,

 

ณัชร

ป.ล.  ว่าง ๆ อาจารย์ไปเยี่ยมบล๊อกหนูบ้างนะคะ   เมื่อวานนี้เขียนเรื่อง "คะน้า...หนึ่งในความขี้เกรงใจของชาวอาทิตย์อุทัย" ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท