ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2548
แผนงานสร้างเสริมสุขภาพคนพิการในสังคมไทย
ซึ่งนำโดยแพทย์หญิงวัชรา ริ้วทอง
ได้จัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อกำหนดแนวทางและแผนงานในการพัฒนาแกนนำเครือข่ายคนพิการ
ซึ่งในเวทีนี้ได้เชิญเครือข่ายคนพิการจากหลากหลายองค์การเข้าร่วมเวที
อาทิเช่น เครือข่ายผู้พิการทางร่างกาย เครือข่ายผู้พิการหูหนวก
เครือข่ายผู้พิการตาบอด เครือข่ายผู้พิการทางจิต และเครือข่ายครอบครัว
เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางและแผนงานในการพัฒนาแกนนำเครือข่ายคนพิการ
เวทีครั้งนี้ ได้เชิญ คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
ผู้อำนวยการโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาสถาบันการจัดการความรู้ชุมชนท้องถิ่น
มาเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับแกนนำเครือข่ายคนพิการ
หรือเรียกว่า “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” (Change Agent)
โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเครือข่ายคนพิการ
การจัดกระบวนการเรียนรู้ในครั้งนี้ คุณทรงพลได้เน้น
“กระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ”
โดยให้ผู้เข้าร่วมเวทีได้รับชมภาพยนตร์สลับกับการถอดความรู้จากเนื้อหาของเรื่อง
ซึ่งมีถึง 3 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกเป็นภาพยนตร์เกาหลี คือ เรื่อง
“เสียงกู่จากครูใหญ่” ผู้ซึ่งมีอุดมการณ์ที่ว่า
“การทำงานหนักเป็นดอกไม้ของชีวิต”
ครูใหญ่เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจากจุดเล็กๆ ในโรงเรียน
จนสร้างผลเป็นรูปธรรมให้คนทั้งชุมชนได้อยู่ดีมีสุขร่วมกัน
โดยใช้ระยะเวลาถึง 8 ปีจึงจะประสบผลสำเร็จ
เรื่องที่สองเป็นภาพยนตร์เกาหลีอีกเช่นกัน คือเรื่อง
“วีรสตรีเกาหลี”
ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตของภรรยาซึ่งสามีเสียชีวิตกะทันหัน
จึงจำเป็นต้องมาเลี้ยงดูครอบครัวของสามีตามประเพณี
เธออดทนบุกเบิกพื้นที่ป่าเขาเพื่อนำมาเป็นพื้นที่ทำกินตลอดระยะเวลา 3
ปี จึงเห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรมมีสวนไม้ผล
ซึ่งทำให้ครอบครัวสามารถลืมตาอ้าปากได้
และได้ชักชวนเพื่อนบ้านให้มาร่วมกันตั้งสหกรณ์ส่งผลผลิตออกขายในตลาด
สร้างถนนหนทางเข้าสู่หมู่บ้านเพื่อพัฒนาหมู่บ้านให้เกิดความเจริญ
และเรื่องที่ 3 เป็นเรื่อง “15 ค่ำ เดือน 11”
ซึ่งคุ้นชื่อคุ้นหูกันเป็นอย่างดี
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อของมนุษย์มีอยู่ในวิถีชีวิตซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้
เป็นความเชื่อความศรัทธาต่อศาสนาและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มนุษย์ต้องการพิสูจน์ให้ได้พบกับคำตอบ
ซึ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร
และสุดท้ายช่องว่างของความต่างระหว่างวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกกับความเชื่อ
ภูมิปัญญาของโลกตะวันออกจะสามารถหาจุดร่วมเข้าด้วยกันได้หรือไม่
แต่สิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้บอกไปแล้วก็คือไม่ว่าจะทำอะไร
ในมุมมองไหน ความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างไร สิ่งสุดท้ายทุกคนก็ต้อง
“เชื่อในสิ่งที่ทำและทำในสิ่งที่เชื่อ”
ภาพยนตร์ทั้ง 3 เรื่อง ได้สอนให้รู้ว่า
ความศรัทธาต่อสิ่งที่เราทำหรือการมีใจรักในสิ่งที่ทำ
ย่อมต้องมาก่อนสิ่งใดๆ ทั้งหมด
เพราะถ้าใจไม่มาหรือไม่มีให้กับงานที่ทำเสียแล้ว
ความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างสรรค์งานให้สำเร็จก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน
การใช้สื่อภาพยนตร์ในกระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
โดยใช้การถอดความรู้หลังจบกิจกรรม
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเวทีได้นำไปใช้เพื่อหาจุดร่วมสำหรับการทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า “ดูหนัง ดูละคร
แล้วย้อนดูตัวเรา”
เพื่อนำข้อคิดจากภาพยนตร์มาสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อนร่วมเครือข่าย
การสร้างแรงบันดาลใจมีหลายวิธีด้วยกัน
และการเรียนรู้ร่วมกันอีกวิธีหนึ่งก็คือ
การสนทนาแบบสุนทรียะหรือ Dialoque
ซึ่งเป็นการสนทนากลุ่มโดยที่ไม่มีการกำหนดวาระ ไม่มีประเด็น ไม่มีหมวก
บทบาท ตำแหน่ง ทุกคนสามารถพูดเรื่องอะไรก็ได้
ขณะเดียวกันทุกคนก็ต้องฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง เข้าใจ ไม่ตัดสิน
และสามารถเชื่อมโยง เปลี่ยนประเด็นก็ได้
เพราะประเด็นการพูดคุยทั้งหมดจะถูกโยนเข้ามาในวงตรงกลาง
ไม่มีถูกไม่มีผิด เมื่อพูดแล้วก็เว้นให้เพื่อนคนอื่นได้พูดต่อไป
สิ่งที่ได้รับจากการสนทนาแบบสุนทรียะสะท้อนให้เห็นว่าในเครือข่ายคนพิการนั้น
ต้องการความเข้าใจจากสังคม ต้องการกำลังใจที่จะทำงาน
และต้องการความเชื่อมั่นความศรัทธาต่อการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่จะสามารถขับเคลื่อนและพัฒนาคนพิการในสังคมไทยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องหนุนเสริมแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในเครือข่าย
แต่การที่จะเคลื่อนงานร่วมกันนั้น จำเป็นจะต้องมีการวางแผน
กำหนดเข็มทิศที่จะเดินต่อไปข้างหน้า
คุณทรงพลจึงได้ให้แต่ละเครือข่ายได้ร่วมกันระดมความคิดกำหนดแผนงานใน 1
ปีข้างหน้าเพื่อดำเนินงานร่วมกัน
โดยให้ผู้ที่ต้องการพัฒนาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงได้เรียนรู้บนฐานงานจริงและยกระดับศักยภาพของตนเองให้เป็นคุณอำนวยกระบวนการเรียนรู้ที่จะไปผลักดันการจัดการความรู้ในเนื้องาน
การสร้างแรงบันดาลใจจึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับการจัดกระบวนการเรียนรู้แก่ผู้ทำงานขับเคลื่อนทางสังคม
ให้ได้รับการหนุนเสริมความคิด ทัศนะคติ
แนวคิดการทำงานซึ่งต้องเรียนรู้ผ่านเพื่อนร่วมอุดมการณ์
ทำงาน และสิ่งที่คุณทรงพลได้ถ่ายทอดให้แก่เครือข่ายคนพิการครั้งนี้
ย่อมสะท้อนให้เห็นว่านอกจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้ว
เราสามารถที่จะเรียนรู้ในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้
ผ่านสื่อดีๆ ที่สามารถให้แง่คิด มุมมองและเสริมสร้างกำลังใจแก่กันได้
หากว่าเพื่อนคนใดหมดกำลังในการทำงานก็ลองหยิบหนังดีๆ ซักเรื่อง
นำมาดูร่วมกันกับเพื่อนๆ และแชร์ความรู้สึก
สร้างแรงบันดาลใจให้แก่กันก็ได้นะครับ…
ข้อสังเกตจากเวที
:
1.
เวทีครั้งนี้ทำให้ผู้เขียนได้เห็นพลังบางอย่างที่สะท้อนออกมา นั่นคือ
ความมุ่งมั่น ตั้งใจของผู้เข้าร่วมเวที
แม้บางคนจะมีอุปสรรคต่อการมองเห็น
บางคนมีอุปสรรคต่อการได้ยินต่อการพูด
บางคนมีอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้พิการแต่อย่างใด
ด้วยใจที่มุ่งมั่นจึงสามารถเอาชนะต่ออุปสรรคของร่างกายได้
2.
ทุนเดิมของแต่ละคนมีอยู่สูงมาก
จากที่สังเกตอาจจะเป็นเพราะผู้เข้าร่วมเวทีส่วนใหญ่เป็นตัวแทนจากองค์กรต่างๆ
ซึ่งเคยผ่านประสบการณ์ทำงานทางสังคมและช่วยเหลือผู้พิการมาก่อนแล้ว
เมื่อเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ ทุกคนก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยน
รับฟังและจับประเด็นได้อย่างมั่นใจ
สามารถเป็นคุณอำนวยในกลุ่มย่อยได้เป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้นทุนเดิมของแต่ละคน เช่น ความรู้ ทักษะ ความสามารถ ความคิด
จึงมีอยู่มากมายในเครือข่ายคนพิการ
3.
สิ่งสำคัญสำหรับการจัดกระบวนการเรียนรู้ คือ ต้องหมั่นเสริมกำลังใจ
กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพที่ตนมีอยู่
และหนุนให้ผู้เรียนได้เกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนมากๆ
เพื่อพัฒนาศักยภาพคุณอำนวย
4.
การจัดกระบวนการเรียนรู้สำหรับคนพิการ
จำเป็นต้องเข้าใจวัฒนธรรมการเรียนรู้สำหรับคนพิการ
ต้องศึกษาข้อมูล/หลักสูตร วิธีการและการออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสม
อันประกอบด้วย
- เกมสนุกๆ ผ่อนคลายความเครียด
- กิจกรรมเสริมการเรียนรู้ เช่น ดูหนัง ฝึกสมาธิ ฯลฯ
-
และเนื้อหาหลักของกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง
เมื่อสะสมข้อมูลได้เพียงพอ (สรุปถอดความรู้หลังจบ)
ก็สามารถนำมาสร้างเป็นหลักสูตรเรียนรู้การพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้พิการในครั้งต่อไปได้
5.
การพัฒนาผู้นำการเปลี่ยนแปลง
จำเป็นต้องมีการติดตามการนำความรู้ไปใช้อย่างใกล้ชิด
เพราะผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะต้องทำงานในลักษณะของการทำงานเชิงรุก
ต้องไปผลักดันให้งานในพื้นที่ขับเคลื่อน
และผู้นำการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้สำหรับจัดเวทีเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
6.
ควรมีการทำทะเบียนประวัติของผู้เข้าร่วมเวทีพร้อมรูปถ่ายไว้เป็นฐานข้อมูลด้วย
เช่น ชื่อ ที่อยู่ ประวัติการทำงาน ประวัติการฝึกอบรม
ความต้องการในการฝึกอบรม ฯลฯ
(บันทึกโดย ชยุต อินพรหม ; เจ้าหน้าที่โครงการฯ)
ผมขออนุญาตนำมาปรับใช้กับเครือข่ายคนพิการ จว.พัทลุง ด้วยครับ ได้ผลอย่างไรจะเล่าไว้ที่ Blog ต่อไปครับ