ข้อมูลที่ค้นหาได้
ประวัติบ้านสามขา
………………………………………………………………………….
ตามประวัติเดิมเล่าสืบกันมาว่า ชาวบ้านสามขาเดิมเป็นคนเชื้อสายมาจากบ้านเหล่าหนองปล้อง ในเมืองลำปาง แถวๆบ้านพระบาทหนองหมู พวกที่ยากจนไม่มีอันจะกินได้พากันรอนแรมออกป่าล่าสัตว์ พอได้เนื้อสัตว์ก็นำเนื้อสัตว์นั้นย่างไฟเก็บไว้ เพื่อนำไปขายในเมือง นานเข้าบ่อยครั้งก็พากันทำไร่ข้าว ปลูกกระท่อมฟากอยู่ในบริเวณนั้นซึ่งมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก พอเพื่อนบ้านทราบข่าวเล่าสืบต่อๆกันไป ก็เดินทางมาสมทบและอพยพมาเรื่อยๆ พอมาพบทำเลเหมาะ ดิน น้ำ อุดมสมบูรณ์ดี จึงพากันมาตั้งถิ่นฐานปลูกบ้านหลายหลัง จนกลายเป็นหมู่บ้านหนึ่งอยู่ที่ทุ่งนาบ้านเก่าและตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านแม่หยวก เพราะบริเวณนั้นมีต้นกล้วยป่าเต็มไปหมด เมื่อมีคนตายในหมู่บ้านจึงจัดให้มีป่าช้าขึ้นทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านที่ ม่อนป่าช้า (ปัจจุบันเรียก ม่อนป่าช้า) และได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทำบุญ และเป็นที่พึ่งทางใจของคนในหมู่บ้าน ปัจจุบันเรียกว่า ทุ่งวัดห่าง (วัดร้าง) อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านในขณะนั้นมีประมาณ 30 ครัวเรือน พอนานเข้าทนต่อภัยธรรมชาติไม่ไหว เกิดน้ำป่าไหลหลาก ท่วมบ้านตลอดฤดูฝน จะทำมาหากิน ไปทางไหนก็ลำบาก จึงพากันอพยพมาอยู่บนเชิงเขาที่ราบสูงทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นหมู่บ้านในปัจจุบันนี้และขยายครัวเรือนมากขึ้นเรื่อยๆมา ต่อมาได้ย้ายวัดมาอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านและย้ายป่าช้ามาไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน คนในสมัยนั้นมีความเชื่อว่า ป่าช้าอยู่ทางไหนต้องสร้างวัดปิดทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อป้องกันมิให้ผีร้ายเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน
สมัยนั้นยังมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งมีประมาณ 20 กว่าหลังคาเรือน แต่ไม่ปรากฏชื่อหมู่บ้านตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของของบ้านห้วยมะเกลือปัจจุบันนี้ แต่ตามคำบอกเล่าสืบกันมาว่า ขณะนั้นบ้านห้วยมะเกลือยังไม่มี มีแต่หมู่บ้านเล็กๆดังกล่าว ในหมู่บ้านมีคนล่าสัตว์เลี้ยงชีพอยู่หลายคน และวันหนึ่งมีชาวบ้านคนหนึ่งออกล่าสัตว์ แล้วไปพบเห็นรอยเก้งกินลูกมะกอกป่า จึงตัดไม้ทำเป็นห้างหรือนั่งร้านอยู่บนต้นไม้เพื่อดักยิงเก้ง พลบค่ำลงเก้งตัวนั้นได้ออกมากินมะกอกป่าอีก ชาวบ้านคนนั้นจึงใช้ปืนคาบศิลา ยิงเก้งถึงแก่ความตาย เมื่อเก้งตายแล้วชาวบ้านคนนั้นไม่สามารถนำเก้งทั้งหมดกลับบ้านได้ เนื่องจากเป็นเก้งที่ใหญ่มาก จึงใช้มีดตัดเอาเฉพาะขาหลังเพียงขาเดียว ส่วนที่เหลือก็นำใบไม้มาปกปิดไว้กันไม่ให้คนอื่นมาเห็น เมื่อนำขาเก้งกลับมาถึงบ้านแล้ว พอรุ่งเช้าก็ทำเป็นอาหารกินโดยชวนเพื่อนบ้านมาร่วมกินด้วย หลังจากกินอิ่มแล้วจึงพาเพื่อนบ้านกลับไปเอาเนื้อเก้งที่เหลือ แต่เมื่อไปถึงที่ซ่อนเนื้อเก้งไว้กลับไม่เจอเนื้อเก้งดังกล่าว เนื่องจากมีงูใหญ่มาพบเก้งที่เหลือสามขา จึงลากเข้าไปกินในถ้ำที่อยู่ทางทิศตะวันตกของบ้านแม่หยวก (ปัจจุบันคือ บ้านสามขา)
ชาวบ้านจึงพากันตามรอยงูใหญ่ที่ลากเก้งเป็นทางไป และไปสิ้นสุดที่ปากถ้ำ จึงคิดว่างูใหญ่ตัวนั้นนำเก้งไปกินในถ้ำ ดังนั้นจึงพากันกลับบ้านเพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรกับงูใหญ่ตัวนั้น เมื่อมีความเห็นสอดคล้องตรงกัน จึงหาเชือกมามัดเป็นเกลียวเส้นใหญ่และยาวที่สุด ได้นำเอาหูหิ้วถังตักน้ำมาทำเป็นขอเบ็ด ผูกกับเชือกแล้วฆ่าสุนัขตัวหนึ่งผูกติดกับเบ็ดหย่อนลงไปในรูถ้ำ ปลายเชือกผูกติดกับต้นไม้ที่ปากถ้ำ พอวันรุ่งขึ้นก็พากันมาดู เห็นเชือกตึงจึงรู้ทันทีว่างูใหญ่คงติดเบ็ดแล้ว จึงช่วยกันดึงงูออกมา แต่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่สามารถดึงออกมาได้เนื่องจากงูใหญ่มาก จึงได้ระดมคนในหมู่บ้านทั้งชายและหญิงให้ไปช่วยกันทุกคน ยกเว้นหญิงหม้ายเพียงคนเดียวที่ไม่ไปช่วย พอชาวบ้านทั้งหมดมาถึงก็ได้ช่วยกันดึงอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ดึงไม่ออกเหมือนเดิม จึงได้นำเอา ช้างสามปาย ควายสามศึก เกวียนสามเล่ม ใช้เชือกผูกตามกัน แล้วควาญช้างก็ไสช้างให้เดินหน้าและเฆี่ยนควายให้เดินตาม ในที่สุดก็สามารถดึงออกมาได้ เมื่อออกมาพ้นปากถ้ำแล้วก็ใช้เกวียนสามเล่มต่อกัน ใช้ช้างยกงูขึ้นใส่เกวียน แล้วจึงให้ช้างเดินนำหน้าช่วยลากงูไปจนถึงหมู่บ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านแล้วพวกเขาจึงพากันลงมือชำแหละเนื้องูออกมาทำเป็นอาหาร แจกจ่ายกันกินทั้งหมู่บ้าน มีทั้งเหล้ายา สาโท จ้อย ซอ กันอย่างสนุกสนานร่าเริงเต็มที่ ส่วนเนื้องูที่เหลือก็แบ่งปันกันทุกครัวเรือน ยกเว้นหญิงหม้ายผู้นั้นเพราะไม่ได้ไปช่วยเขาลากงู จึงไม่ได้รับส่วนแบ่ง พอเวลากลางคืน ตอนดึกได้มีเทวดามาเข้าฝันโดยแปลงตัวเป็นคนแก่ ผมขาว หนวดยาว หลังโก่งถือไม้เท้าขึ้นบันไดมาหาหญิงหม้ายคนนั้นแล้วกำชับว่า คืนนี้ถ้าได้ยินเสียงอะไรที่อึกทึกครึกโครม หรือเสียงอะไรก็ตามห้ามออกจากบ้านเป็นอันขาด อย่าลงบ้านไปไหนเพราะจะเป็นอันตราย พอสั่งแล้วเทวดาก็หายวับไปกับตา พอหญิงหม้ายนอนหลับไปก็ตกใจตื่นเนื่องจากมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมเหมือนแผ่นดินจะถล่มทลาย หญิงหม้ายผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกมาจากประตูเรือน พอนึกถึงคำเตือนของชายชราก็กลับไปนอนดังเดิม
ครั้นต่อมาก็วิ่งออกนอกประตูเรือนมาดูอีกก็นึกถึงคำเตือนอีกครั้งก็กลับเข้าไปนอน พอครั้งที่สามวิ่งออกมาถึงหัวบันได จึงมองดูเวิ้งว้าง บ้านเรือนที่ใกล้ชิดติดกันหายไปหมดไม่เหลือสักหลัง โล่งเป็นบริเวณกว้าง หญิงหม้ายก็กลับเข้าไปนอน ไหว้พระสวดมนต์ พอรุ่งเช้าจึงออกมาดูข้างนอกเห็นบริเวณหมู่บ้านยุบลงไปหมด เหลือแต่บ้านของตนเพียงหลังเดียว หญิงหม้ายผู้นั้นจึงเก็บข้าวของที่มีค่าไปอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของบ้านที่ถล่มนั้น ปัจจุบันเรียกถ้ำนั้นว่า ถ้ำย่าเถ็ก หมู่บ้านที่ถล่มลงไปนั้นปัจจุบันเรียกว่า โป่งหล่ม
บริเวณบ้านแม่หยวกนั้น ต่อมาต้นกล้วยได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น จึงขุดทำเป็นไร่นาไปหมด เมื่อไม่มีหยวกกล้วยเหลืออยู่แล้วจึงพากันเปลี่ยนชื่อบ้านใหม่ ให้ชื่อว่า “ บ้านสามขา “ ตามขาเก้งที่เหลือ ซึ่งหมายถึงความมั่นคง เปรียบดังก้อนเส้าสามก้อน และแก้วสามประการคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาจนทุกวันนี้
ส่วนถ้ำนั้น ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 800 เมตร บรรพบุรุษได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีของดีอยู่มากมายหลายอย่าง มีคนเคยพบเห็นฆ้องทองคำและพระพุทธรูปทองคำหลายองค์หลายขนาด แต่ไม่สามารถนำออกมาจากถ้ำได้มีอันเป็นไปต่างๆนาๆ เช่นเดินวกไปวนมาหาที่ออกไม่ได้ พอวางของนั้นลงก็จะเห็นช่องทางออกทันที มีผู้แสวงหาโชคลาภคิดจะขโมยของดังกล่าว แต่ก็ถูกสัตว์เช่น เสือ งู กัดตายจนไม่มีใครกล้าเสี่ยงขโมยอีก
เมื่อประมาณ 60 กว่าปีที่ผ่านมาชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงตีฆ้องดังออกมาจากในถ้ำนั้น เมื่อถึงวันพระทุกครั้ง ในสมัยนั้นปากถ้ำยังปรากฏให้เห็นอยู่และสามารถเดินเข้าไปได้ เมื่อเดินเข้าไปจะพบก้อนหินใหญ่ก้อนกนึ่งสวยงามมาก ชาวบ้านใช้เป็นแท่นบูชาพระสืบต่อกันมา ต่อมามีฝนตกหนักติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน ทำให้ดินพังทลายลงมาปิดปากถ้ำหมด เป็นแนวยาวประมาณ 180 เมตร ไม่มีใครกล้าไปเปิดปากถ้ำอีก
สำหรับชาวบ้านสามขาปัจจุบัน มีครัวเรือนจำนวน 169 ครัวเรือน นายจำนงค์ จันทร์จอม เป็นผู้ใหญ่บ้าน