ประสบการณ์ของการทำงานที่แตกต่างใช้เรียนรู้ร่วมกันได้จริงๆ


ผมประเมินด้วยความรู้สึกผมเองว่าผู้เข้าประชุมน่าจะยอมรับได้ว่างานที่แตกต่างแต่ประสบการณ์การทำงานมันใช้สอนและเรียนร่วมกันได้

ตามที่ผมสัญญาไว้นั่นแหละครับว่ากลับจากทำหน้าที่พูดคุยเรื่องผลสัมฤทธิ์ของการจัดการความรู้ ในการประชุมวิชาการเรื่องการพัฒนางานด้านป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อ:จุดเริ่มต้นของการจัดการความรู้สู่ปลายทางเพื่อผู้รับบริการสุขภาพ ที่สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์จัดขึ้น แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง ลิ้งค์อ่านบทความที่แล้ว

ทีมเราไปถึงที่ประชุมก่อนเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้เจ้าภาพสบายใจว่าไป
แน่นอน น้องติ่ง ครูแต้ว และครูราญ จึงถ่ายรูปร่วมกันในห้องพักวิทยากร

พอได้เวลาบ่ายสามโมงเราต่างรับลูกและโยนลูกแท็กทีมกันเล่า เน้นตรงประเด็นการทำงานที่ต่างกันด้วยเนื้อหาแต่ไม่แตกต่างกันในเรื่องกระบวนการเรียนรู้ เพราะรู้ดีว่าหน้างานของผู้เข้าร่วมประชุมกับทีมผู้เล่าเรามันคนละอย่างกัน

ผมเริ่มก่อนว่าผมเองก็เรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ในการทำงานโดยใช้ KMหรือแบบ KM จากนักจัดการความรู้ในซีกของหมอ พยาบาล ด้านสาธารณสุขนี่แหละ ผ่านบล็อก gotoknow ไม่ว่าจากที่ รพ.บ้านตาก รพ.มอ. หมอนนทลีกับคณะจากกรมอนามัย น้องเล็กศุภลักษณ์ รพ.บำราศนราดูร ฯลฯ ของดีอยู่ใกล้ตัวท่านที่ท่านจะเรียนรู้ได้อยู่แล้ว

ผมย้ำว่าหากคิดจะใช้ KM มาเป็นเครื่องมือทำงาน จะต้องขบถเล็กๆกับตัวเองเสียก่อน กล้าที่จะคิดและทำอะไรที่ฝืนความรู้สึกเดิมๆตนเองเสียบ้าง ออกนอกกรอบไปบ้าง หากชวนเพื่อนคอเดียวกันมาร่วมทีมกันได้ก็จะทำให้มีพลังในการขับเคลื่อนงาน เหมือนนกจะบินไปได้ไกล เมื่อบินไปกับฝูง คนเดียวมันทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก แป็บเดียวก็หมดแรง ไม่ได้ถ่ายเทพลังไปไว้ที่ใคร เลิกพูดเรื่องทำงานแบบ KM องค์กรเลย ทำไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีทีมหรือคนคอเดียวกันเยอะๆ ผมคิดว่าผมพูดเล่ามาเท่านี้สำหรับท่านที่อ่านบันทึกผมมาโดยลำดับจะรู้ทันทีว่าผมเอาข้อมูลที่ผมได้บันทึกไว้ในบล็อกของผมแล้วทั้งนั้นมาพูด ผมไม่ได้เอาข้อมูลใหม่อะไรมาพูดเลย ใช่เลยครับ ถูกต้องที่สุดเลย ไม่ได้มีอะไรใหม่เลยจริงๆ

ผมว่าถ้าจะทำงานแบบ KM ก็ต้องลงมือทำเลยอย่ามัวรีรอว่าถูกต้องตามทฤษฎีหรือไม่ ทำจากงานจุดเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเรานี่แหละ แต่ต้องทำให้ครบกระบวนการตั้งแต่กำหนดเป้าหมายให้ชัด ทำกระบวนการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้ดี และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือต้องมีคลังความรู้ของตัวเอง ก็บันทึกความรู้บล็อก gotoknow นี่แหละ ผมและเพื่อนวิทยากรทุกคนที่มาร่วมแลกเปลี่ยนในวันนี้ทุกคนพยายามทำอย่างนี้ ผิดถูกก็ต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้กันไป

ผมถามผู้เข้าร่วมประชุมว่าพอจะเห็นงานหน้าตักของท่านบ้างแล้วยังว่าจุดเล็กๆใดที่ท่านทำได้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว ที่จะกลับไปต่อยอดด้วยการทำงานแบบจัดการความรู้ได้ จะใช้ความรู้ นวัตกรรมตัวใดมาเป็นเครื่องมือ

ช่วงสุดท้ายก็เป็นคำถามของผู้เข้าประชุมและให้ผู้เข้าประชุมเล่าประสบการณ์ ซึ่งคำถามหนึ่งที่ผู้เข้าประชุมถามแล้วผมสุขใจที่จะตอบมากที่สุดคือเว็ปไซต์ที่ผมพูดตอนแรกคือ gotoknow มีลิ้งค์อย่างไรตอนนี้เขาสนใจที่จะศึกษาอย่างจริงจังแล้ว แต่ที่ถามแล้วเครียดคือถามว่าทำงานแบบจัดการความรู้มีปัญหาอะไรบ้าง ผมว่าท่านผู้อ่านช่วยตอบแทนผมที โดยเฉพาะการจัดการความรู้ภาครัฐ....จาระไนไม่หมดจริง ผมแซมเปิลไปพอหอมปากหอมคอ

ผมและคณะดีใจที่ผู้เข้าประชุมคนหนึ่งสะท้อนว่าประชุมกัน 2 วัน พูดหลักการเสียหนึ่งวันกว่าๆ พอได้เห็นตัวอย่างทีทีมผมไปเล่าให้ฟังทำให้จิ๊กซอของการประชุมทางวิชาการครั้งนี้สมบูรณ์ขึ้น 

ผมเริ่มพูดตั้งแต่บ่ายสามโมง มีผู้เข้าประชุมอยู่กัน 120 คน จนเกือบจะสี่โมงครึ่งมีผู้เข้าประชุมเหลืออยู่สัก 30 คนเห็นจะได้ เพราะต้องรีบเดินทางกลับบ้าน บ้านอยู่ต่างจังหวัดกันเป็นส่วนใหญ่ ผมจึงหยุดทำหน้าที่ครับ ผมประเมินด้วยความรู้สึกผมเองว่าผู้เข้าประชุมน่าจะยอมรับได้ว่างานที่แตกต่างแต่ประสบการณ์การทำงานมันใช้สอนและเรียนรู้ร่วมกันได้

ในส่วนของน้องติ่ง ครูราญเมืองคอน และครูแต้วเมืองคอนจะคิดอย่างไรต่อการไปทำหน้าที่ครั้งนี้ได้นำเสนออะไรไปบ้าง คงต้องติดตามจากบล็อกของน้องทั้งสามนะครับ

ผมมีภาพมาฝากด้วยครับ

 

ทำหน้าที่บนเวทีครับ


บางมุมของผู้เข้าประชุมครับ
หมายเลขบันทึก: 73333เขียนเมื่อ 18 มกราคม 2007 21:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

ครูนงคะ นอกจาก "จะต้องขบถเล็กๆ กับตัวเองเสียก่อน" แล้ว ... ก็จะต้องมีพลังเหลือเฟือ ที่จะไปจุ้นจ้าน เจ๊าะแจ๊ะ หรือเข้าสังคม สมาคมกับเพื่อนร่วมวงการ ... ก็เพื่อขยายทีมงานให้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นด้วย

... สไตล์ หาคนคอเดียวกัน ของครูนงละค่ะ

  • ตามคุณหมอนนทลีมาครับ
  • ติดตามมาอ่านเพื่อเรียนรู้เทคนิคของครูนงและทีมงาน
  • ขอแจมตอบว่าการทำKMมีปัญหาอะไรบ้าง   ผมมักจะพูดเสมอว่าไม่คิดว่าเป็นปัญหา แต่สิ่งที่สำคัญมีอยู่ข้อเดียวคือ "ไม่ลงมือทำ" ครับ ไม่ว่าจะรู้ หรือไม่รู้   แต่ไม่ยอมลงมือทำสักที ไม่ว่าจะสร้างKV การ ลปรร. และการบันทึกเพื่อทำKA (ช่วยครูนงตอบครับไม่ทราบว่าเป็นปัญหาหรือเปล่า)
ไม่ผิดหวังที่รออ่านเรื่องนี้ เพราะผมไม่ค่อยมีประสบการณ์ อยากทราบเหมือนกันว่าทำอย่างไร มีเทคนิคอย่างไร เพราะตอนนี้ผมเริ่มขายความคิดเรื่องนี้กับหลายคนแล้ว แต่ถ้าจะมาจับเอาปลายทางเลย คือการบันทึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน gotoknow ก็คงจะเป็นจับงานตอนปลายที่ไม่เห็นที่มาที่ไป ตอนนี้กำลังปะติดปะต่อกระบวนการอยู่ครับ และจะเริ่มทำกับกลุ่มเล็กๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยเคลื่อนไหวเท่าไรในหน่วยงานผม แต่ก็มีคนสนใจอยู่เหมือนกัน ถ้ามีข้อแนะนำอะไรดีๆ ว่าควรศึกษาจากที่ไหน ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นอย่างผมครับ

ครูนงคะ....

  • ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนชักชวนเพื่อนอาจารย์มาเขียนบล็อกเป็นกลุ่มเล็กๆ   เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แต่คงต้องค่อยๆใช้เวลา

สวัสดีตอนเช้าคะ ครูนง....ชอบบันทึกนี้มาก...มากที่สุดค่ะ...อย่างน้อยก็เป็นคำตอบที่ดิฉั๊นสงสัย...แลกเปลี่ยนต่าง....ฟิลว์...ประสบการณ์การทำงานที่ต่าง กันมันจะมีจุดร่วมการเรียนรู้ตรงไหน...
ทุกวันนี้ที่ดิฉั๊นพบในการเรียนรู้ใน g2k เรียนรู้วิธีคิดของคนต่างวิชาชีพที่เป็นอิสระ.....อีกอย่างที่เรียนรู้คือ...การพยายามตามหาฝันตัวเองที่จะทำงานโดยใช้ km เป็นเครื่องมือ.....ทำไมดิฉั๊นเห็นคนที่ไบเทคฯ กอดกันในงานมหกรรมการจัดการความรู้....เราต่างตามหาฝัน.....อ่านความคิดของเพื่อนๆ ใน g2k แล้วมีพลังงานถ่ายทอดมาสู่ดิฉั๊น ...บันทึกนี้เป็นตัวอย่างค่ะเช้านี้..ดิฉั๊นมีพลังงานเพิ่มขึ้นจากบันทึกนี้ค่ะ....ขอบคุณครูนง .....พลังงานจากเพื่อนร่วมฝัน...

  ขอบคุณ และเห็นด้วยครับว่า ... ประสบการณ์ของการทำงานที่แตกต่างใช้เรียนรู้ร่วมกันได้จริงๆ
  น่าเสียดายที่คนหลายคน พลาดโอกาสได้เรียนรู้สิ่งดีๆ เพื่อพัฒนาตน พัฒนางาน พัฒนาองค์กร  เพียงเพราะว่ามัวไปตั้งกำแพงปิดกั้นตัวเอง ด้วยความเชื่อว่า " ศาสตร์นี้มันต้องพวกฉัน .. คนไม่จบมาทางนี้จะมารู้เรื่องได้อย่างไร ? " แล้วพวกเขาก็คาบทฤษฎี คาบคัมภีร์ ว่าย วนอยู่ในอ่างนั่นเอง .. ผมได้อะไรมากเสมอเมื่อฟัง ชาวบ้าน  หมอ วิศวกร นักวิชาการเกษตร หรือคนอื่นๆนอกวงการ พูดเรื่อง การศึกษา
คุณหมอนนทลี ครับ
             หมอช่างจับสไตล์การทำงานผมได้ดีเสียจริงๆเลย เจ๊าะแจ๊ะจุ้นจ้านนะไม่ค่อยจะ..หรอกนะครับ แต่ไอ้เข้าสังคม สมาคมกับเพื่อนร่วมวงการ เพื่อขยายทีมงานให้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นนะ ใช่เลย
            ขอบคุณครับ

น้องสิงห์ป่าสักครับ

               ไม่ยอมลงมือทำสักที นั่นแหละคือพระเอกของเรื่อง ตอบแทนให้ได้สะใจจริงๆ ขอบคุณนะน้อง

อ.ศรีเชาว์ ครับ

        ผมเห็นด้วยว่าถ้าจะมาจับเอาปลายทางเลย คือการบันทึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน gotoknow ก็คงจะเป็นจับงานตอนปลายที่ไม่เห็นที่มาที่ไป คงต้องทำงาน พบความรู้แล้วจึงมาแลกเปลี่ยน ผมไม่มีอะไรจะแนะนำอาจารย์จริงๆ ผมเองถนัดทำงานใต้ดินครับ หาพวกหาเพื่อนที่ถูกโฉลก นิสัย บุคลิกการทำงานนอกกรอบบ้าง ขบถนิดๆบ้าง มาเป็นทีมทำงานอย่างไม่เป็นทางการ ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันครับว่าไอ้ที่ตั้งก้วนตั้งแก๊งกันทำงานสร้างสรรค์ งานคุณภาพ สักวันหนึ่งมันจะกลายมาเป็นเรื่องบนดิน มาเป็นเรื่องทางการไปได้ อาจารย์ลองอ่านบันทึกผมดูหลายๆบ้นทึกซิครับ และบันทึกนี้ click

อ.ศรีเชาว์ครับ

          ต่อนะครับ (เน็ตมีปัญญานิดหน่อย) click ผมยังต้องย้ำเลยนะครับว่าอย่าพึ่งด่วนได้เทคนิคลีลาการเขียนบันทึกไวๆเลยนะครับ ต้องทำงานให้เกิดปัญญา องค์ความรู้ know how เสียก่อน เรื่องเขียนได้คงเป็นเรื่องท้ายๆแล้วละ

         เป็นกำลังใจให้อาจารย์สร้างทีมคนคอเดียวกันได้เพิ่มในหน่วยงาน กศน.เรานะครับ

อ.ลูกหว้าครับ

         เป็นกำลังใจให้อาจารย์ชักชวนเพื่อนอาจารย์มาเขียนบล็อกให้ได้ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะครับ แน่นอนว่าต้องค่อยๆสร้าง ใช้เวลา อย่าท้อนะครับ

คุณ อ.เมตตา ครับ

           ขอบคุณครับคุณเมตตา แล้วสิ่งดีๆจากบันทึกของคุณเมตตาที่ผมเสพไปแล้วเท่าไหร่ แม้จะต่างฟิลด์การทำงานกันก็ตาม มันมากกว่าที่คุณเมตตาได้จากผมนะครับ พูดอย่างนี้แล้วอย่าได้คิดเอาความรู้นั้นกลับคืนนะครับ....อิอิ...ไม่คืนเสียอย่าง

อ.พินิจ ครับ

           ผมชักชอบใจคำพูดอาจารย์จังเลยครับ " ศาสตร์นี้มันต้องพวกฉัน .. คนไม่จบมาทางนี้จะมารู้เรื่องได้อย่างไร ? " นั่นสิครับคนในวงการการศึกษาที่เก่งๆจึงหาได้น้อยนัก สู้หมอพูดเรื่องการศึกษาไม่ได้ หลงกันอยู่แต่ในค่ายกักกันของตนเอง ไม่หันมองเหลียวแลประสบการณ์จากหน่วยงานอื่นเขาบ้าง อาจารย์ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่าทำไม KM มันถึงทำยาก และไม่ค่อยแพร่หลายในวงการการศึกษาบ้านเรา ทั้งๆที่น่าจะเป็นบทบาทหลักของการจัดการศึกษาของประเทศด้วยซ้ำไป ต้องให้อาชีพหมอเขาบอก จะแบ่งแดนแบ่งศาสตร์กันทำไม

         แลกเท่านี้ก่อนนะครับอาจารย์...ขอบคุณมากครับ

ครูนงคะ ที่ว่า "จุ้นจ้าน เจ๊าะแจ๊ะ" ... น่ะ เป็นตัวดิฉันเองนะคะ ... เพราะว่า พักหลังๆ นี้ ก็เปลี่ยนวิธีการเข้าหาชาวประชากรมอนามัย เป็นเทียวเข้าเทียวออก หน่วยงานในกรมอนามัย จากกองโน้น มากองนี้ แล้วละค่ะ ... เพื่อ promotion งาน KM ให้ซอกแซกไปทั่วละค่ะ

... ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่า ใครๆ เขาจะว่ากล่าวกันว่าอย่างไรกันบ้าง ... ยังไม่ได้ประเมินค่ะ ก็ได้แต่ประเมินเข้าข้างตัวเองก่อน ว่า ดีน๊า ... ไม่ผิดใช่มั๊ยคะ

คุณหมอนนทลีครับ

           โปรโมทสิ่งดีๆย่อมดีแน่นอนอยู่แล้ว...ผมก็เดินทางนี้แหละครับ แต่คุณหมอครับผมนับศรัตรูกับมิตรดูแล้วตั้งแต่ทำงานแบบนี้มาราว 5ปี น้ำหนักมันยังค่อนไปทางมีศรัตรูมากว่าอยู่นะครับ ต้องหน้าด้านโปรโมทไปแบบนี้แหละครับ ทั้งใต้ดิน บนดิน สลับกัน อดทน ไม่ย่อท้อครับ

           

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท