พรุ่งนี้ 19 ม.ค ก็เป็นอีกวันหนึ่งครับที่ผมจะต้องไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการเขียนบันทึกลงในบล็อก gotoKnow ซึ่ง กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาจะจัดอบรมคุณลิขิตจากอำเภอต่างๆอำเภอละ 2 คน ให้ผู้เข้าอบรมจำนวนนี้กลับไปบันทึกอย่างเข้มข้นและขยายผลคนเขียนบันทึกบล็อกไปยังคนอื่นทั้งในหน่วยงานตนเองและต่างหน่วยงานเป็นการเลื่อนมาจากวันที่ 12 ม.ค
ผมได้ประสานทีมวิทยากร ทั้ง อ.ภีม ภคเมธาวี ถึงเตียงผู้ป่วย(เฝ้าไข้ภรรยาซึ่ง์เป็นคนไข้ผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาลมมหาราชนครศรีธรรมราช) อาจารย์ตอบตกลงด้วยความยินดี ผมประทับใจในน้ำใจอาจารย์จริงๆ บอกไม่มีเงินให้ อาจารย์ก็บอกว่าไม่เป็นไร โดยรับจะทำกระบวนการธารปัญญาสมรรถนะการเขียนบันทึกบล็อกและอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องให้ ประสานกับคุณชาญวิทย์ สมศักดิ์ ซึ่งกำลังเดินสายแนะนำ ICT ให้แก่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาว สนง.เกษตรอำเภออยู่ ขณะประสานท่านก็กำลังทำหน้าที่อยู่ที่อำเภอทุ่งสง ซึ่งท่านก็ยินดี ลิ้งค์อ่าน ส่วนครูราญเมืองคอน คนนอกระบบ และคุณสมวิศว์ จู้พันธ์ นั้นก็เป็นที่แน่นอนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ในเรื่องเทนนิคการเขียนบันทึกของผมนั้นก็ไม่มีรูปแบบอะไรครับ ที่จะเล่าได้ก็คือว่า ข้อมูลส่วนหนึ่งที่ผมใช้ประกอบในการเขียนผมก็นำมาจากข้อมูลในสมุดบันทึกส่วนตัว ซึ่งผมเคยเขียนไว้ในบางบันทึกแล้วละว่า คือสมุดเหลือใช้ของลูกที่ใช้ที่โรงเรียนแล้วบันทึกไม่หมด ผมนำมาใช้ต่อ เห็นปรากฏการณ์อะไร ข้อคิดอะไร ปิ้งอะไร ก็ใส่ลงไป ทั้งที่เป็นความเรียง mindmap( mindmap ในสมุดบันทึก ก็นำมาทำ mindmap ในโปรแกรม mindjet mindmanager ที่น้องชายขอบ น้องบ่าวที่ผมนับถือเขาอนุเคราะห์ให้มา) สมุดบันทึกเหลือใช้ของลูกที่ว่าที่ผมบันทึกไปแล้วตอนนี้ก็เป็นตั้งแล้ว 20 กว่าเล่มแล้ว หลังๆนี่ก็มีบันทึกข้อมูลเป็นภาพถ่ายบ้างประปรายก็ด้วยความอนุเคราะห์ของน้องสิงห์ป่าสัก เพื่อนบล็อกเกอร์ด้วยกันที่กรุณาแนะนำเทคนิคให้ มีกล้องถ่าายรูปเป็นของตนเอง หลังๆนี้จดบันทึกไม่ค่อยทัน ขาดรายละเอียดที่จะนำมาใช้อ้างอิง น้องสิงห์ป่าสักก็บอกว่าพี่ต้องซื้อ MP 3 หรือ MP 4 ด้วย บันทึกจะได้สมบูรณ์มากขึ้น แบบนักวิจัยสนามเรียกว่า field note
กว่าจะได้เรื่องราวมาบันทึกแต่ละบันทึกผมจะใช้คำถาม 3 ข้อ ประกอบเสมอ คือ เรืื่องนั้นมันเป็นอย่างไร คำถามนี้จะนำไปสู่รายละเอียดของสิ่งนั้นหรือปราฏกการณ์นั้นๆ จะได้ข้อมูลข้อเท็จจริงพรรณาออกมา หากจะพูดกันหยาบๆก็คงจะพูดได้ว่าเรื่องนั้นมันเป็นอย่างไร (วะ) เมื่อได้ข้อมูลข้อเท็จจริิงดังกล่าวแล้ว ก็จะถามต่อด้วยคำถามประเภทที่สองที่ถามว่า แล้วเรื่องนั้นมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร (วะ) คำถามนี้ถามเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงเหตุผล คำอธิบายปรากฏการณ์ และคำถามสุดท้ายผมจะถามด้วยคำถามที่ว่าแล้วสิ่งนั้นมันควรจะต้องจัดการอย่างไรให้ดีกว่าเดิม หรือถามกันหยาบๆว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป(วะ)
ผมว่าหากเราเน้นคำถามประเภทแรกมากๆเราก็จะได้ข้อมูลเชิงหลักการ ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว (Explicit knowledge ) แต่ถ้าเน้นคำถามประเภทที่สองและสามก็จะได้ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge ) ออกมา
ผมว่าในหนึ่งบันทึกจะมีข้อมูลประเภทไหน ไม่มีประเภทไหน หรือมีทั้งสองประเภท ก็อยู่ที่นักจัดการความรู้แต่ละคน สำหรับตัวผมเองผมสังเกตว่าแรกๆก็เต็มไปด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงเสียมากจากคำถามประเภทที่หนึ่ง แต่ระยะหลังๆนี่ก็กล้าที่จะเขียนข้อความรู้ที่เป็นคำถามประเภทที่สองและประเภทที่สามมากขึ้น
ครับบันทึกมาเพื่อจะได้เป็นประโยชนกับผู้ที่เข้ารับการอบรมพรุ่งนี้ และกับผู้สนใจทั่วไป
อาจารย์ภีมครับ พรุ่งนี้ 9 โมง ผมไปรับอาจารย์ที่โรงพยาบาลมหาราชนะครับ
ขอเอาใจช่วยสู่การสรางสรรค์งานในระบบบล็อกครับ
สังคมเราต้องเข้มแข็งขึ้นแน่นอน
อ.จำนงครับ พรุ่งนี้หมอบอกให้กลับบ้านได้ ไม่รู้จะสับรางอย่างไร จะคุยกับอาจารย์ทางโทรศัพท์นะครับ
เทคนิคการเขียน...เล่าเรื่อง....ขอบคุณค่ะ
ได้รู้หลักการเทคนิคมากขึ้น