โรงเรียนของหนู (หรอเนี่ย)


มีโอกาสจะกลับไปหาเด็กที่โรงเรียนนี้อีก จริง ๆ แล้วโรงเรียนที่ด้อยโอกาสยังมีอีกเยอะมาก แต่ที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ได้สัมผัสเอง ก็ที่นี่เป็นที่แรก ปกติทำงานอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องโรงเรียนกันดารเท่าไรนัก ... ต้องขอบคุณแรงบันดาลใจจากบันทึกเรื่องราววันเด็กและวันครูจากทุกท่านด้วย ที่ทำให้บันทึกนี้เกิดขึ้นค่ะ

            วันเด็ก วันครู เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ได้อ่านหลายบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับวันเด็ก วันครู ทำให้นึกถึงว่า ตัวเองก็มีเรื่องน่าประทับใจเกี่ยวกับเด็ก เกี่ยวกับครูบ้างเหมือนกัน ... เมื่อช่วงวันที่ 27-29 ธันวาคม 2549 ได้มีโอกาสฝึกเป็นผู้ประเมินโรงเรียนระดับประถมศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรปริญญาโท สาขาการประกันคุณภาพการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรที่ตัวเองได้เรียนอยู่ โรงเรียนที่ตัวเองเลือกฝึกเป็นผู้ประเมิน คือ โรงเรียนบ้านด่านช้าง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ก่อนไปพี่ ๆ ที่เรียนด้วยกัน โทรบอกให้เตรียมที่นอน หมอน มุ้ง(กันยุง) ผ้าห่มไปด้วย นึกในใจว่าทำไมต้องเตรียมไปเองขนาดนั้น จะกันดารขนาดไหนกันนะ ถึงวันเดินทางจริง (เย็น 26 ธันวาคม 2549) นอกจากของที่พี่ ๆ บอกให้เตรียม ก็เพิ่มเติมไปด้วยขนม มาม่าคัพ โจ๊กคัพ กาแฟ กระติกน้ำร้อน กลัว “อดอยาก” กันอย่างเดียว ขับรถไปเอง รถแอ้ดไปด้วยสารพัดข้าวของเครื่องใช้ ไปด้วยกัน 3 คน
(พี่โอ๊ก ตูน และตัวเอง)

            ไปถึงที่พักราว 3 ทุ่ม มีพี่นัช พี่ที่เรียนด้วยกันอีกคนมารอรับ ที่พักน่ากลัวอย่างแรง มีตุ๊กแกในห้องน้ำด้วย พี่โอ๊กบอกว่า สงสัยเป็นลูกมัน ตัวเท่านิ้วโป้งเอง (แต่โป้งพี่แก อวบ มาก) ตัวเองจึงบอกพี่เค้าไปว่า "ไม่ไหวกระมังคะคุณพี่ เพราะไม่รู้ว่าคุณพ่อ คุณแม่เค้าจะแอบอยู่ตรงไหน เกิดอยากจะออกมาดูแลลูกเค้าขั้นมาล่ะก็" ... แย่เลย ... เนื่องจากส่วนตัวแล้วกลัวเจ้าพวกนี้อยู่แล้ว เลยเดือดร้อนพี่ ๆ หาที่อาบน้ำให้ เป็นบ้านที่อยู่ตรงข้ามกัน

            พี่เจ้าของบ้านใจดีมาก เลยให้เรา (โอกะตูน) อาบน้ำอุ่นกันตามสบาย สภาพบ้านพอกันเลย แต่ไม่มีคุณตุ๊ก(แก) ...เลยพอได้ (ไม่มากเรื่องเท่าไรนะ รู้ตัว) นอนกลางคืนหนาวมาก อากาศช่วงนั้นหนาวเชียว แต่ไม่ถึงกับแถว ๆ ยอดดอย แต่ก็หนาวน่าดูเชียว

            ไปถึงโรงเรียนบ้านด่านช้างตอนเช้าตรู่ รอดูเด็กเข้าแถวเคารพธงชาติ ลงจากรถ สังเกตได้เลยว่าเด็กโรงเรียนนี้เรียบร้อย เพราะยกมือไหว้ และพูด “คุณครูคะ สวัสดีค่ะ คุณครูครับ สวัสดีครับ” กันทุกคน ทุกคนจริง ๆ ตอนแรกคิดว่า เด็กคงถูกปลูกฝังมาให้ทำเพราะจะมีคนมาเยี่ยมโรงเรียน (ทำเหมือนผักชีโรยหน้า) แต่อยู่ด้วย 3 วัน ก็รับรู้เลยว่า เด็กเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

            พูดกับครูทุกคนอย่างนี้ ทุกคน เรียกพี่โอ๊ก ตูน โอ ว่า ครูโอ๊ก ครูตูน ครูโอ กันทั้งนั้น จากที่ดูแล้ว จุดแข็งของโรงเรียนนี้คือ อยู่ในบริเวณเดียวกับวัด อาคารเรียน กับศาลาวัด หันหน้าประจันกันเชียว เด็ก ๆ ที่นี่จึงซึมซับเรื่องคุณธรรม จริยธรรมได้พอสมควร และตรงกับที่ผลประเมินรอบแรกของ สมศ.ที่มาประเมินโรงเรียนนี้ ว่าคุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนอยู่ในระดับที่ดีมาก

            เด็กทั้งโรงเรียนมี 65 คน ครูทั้งโรงเรียนรวมผู้อำนวยการด้วยก็ 6 คน ภารโรงอีก 1 คน ตัวเองได้รับมอบหมายให้ตรวจประเมินมาตรฐานด้านครู และผู้เรียนระดับปฐมวัย ซึ่งมีเด็ก 20 คน เด็กเล็กไม่ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียน 6 คน (ประมาณ 3 ขวบ) อนุบาล 1 มี 7 คน อนุบาล 2 มี 7 คน น่าทึ่งมากที่เด็กเล็ก 3 ขวบ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาก ๆ กินข้าวเองได้แบบไม่เลอะเทอะ ไม่สกปรก ไม่มูมมาม กินข้าวปิ่นโต เก็บปิ่นโตเองได้ เปิดปิดปิ่นโต เก็บช้อนข้างปิ่นโตได้แบบคล่องแคล่ว ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับเด็ก 3 ขวบ

            วันแรกที่มาถึงโรงเรียนนี้ เป็นวันพุธ เสื้อผ้าเด็กทั้งโรงเรียนใส่เหมือนกันคือ ชุดกีฬา ทางโรงเรียนซื้อให้ทุกคน จึงไม่เห็นความแตกต่างของเด็ก ๆ พอวันที่ 2-3 ของการประเมินโรงเรียน เห็นเด็กใส่ชุดนักเรียนที่ต่างกัน จึงทำให้เห็นความแตกต่างกันมากขึ้น ความกระดำกระด่างออกมาหมดกับเสื้อผ้าที่ใส่

            สภาพแวดล้อมของนักเรียนที่นี่ เด็ก ๆ แทบทุกบ้าน ประมาณ 80% ที่เด็ก ๆ อยู่กับปู่ย่า ตายาย ส่วนพ่อแม่เข้าไปทำงานกรุงเทพ หรือต่างเมืองกันหมด น้อยมากที่อยู่ด้วย เด็ก ๆ จึงได้รับการอบรมสั่งสอนจากคุณครูจากโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้ปกครอง พูดคุยถึงเรื่องการที่เด็กมาโรงเรียน ทำให้รู้เลยว่า ชาวบ้านที่นี่รักครูโรงเรียนนี้มาก ช่วยเหลือกันดีมาก แม้จะไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นเรี่ยวแรงที่ทุกคนช่วยกันทุกครั้งที่มีงาน (ทำให้นึกถึง “เสียงกู่จากครูใหญ่” VCD จากท่าน Beeman)

            วันที่ 29 ธันวาคม 2549 วันสุดท้ายของการฝึกเป็นผู้ประเมินที่โรงเรียนบ้านด่านช้าง ตอนเที่ยงไปดูเด็กกินข้าวที่โรงอาหาร ครูประกาศว่า จะปิดปีใหม่ 4 วัน เปิดมาวันที่ 2 มกราคม 2550 ให้ทุกคนห่อข้าวกลางวันมากินด้วย เพราะทางโรงเรียนไม่มีงบอาหารกลางวันแล้ว ตัวเองฟังแล้วท้อใจนัก เพราะที่ดูมา 2 วัน เด็กบางคนอย่าว่าแต่ห่อข้าวกลางวันมาเลย มากินที่โรงเรียนแล้ว ยังต้องห่อไปให้พ่อที่บ้านอีก ซึ่งครูก็รู้ว่าเด็กบ้านนี้ยากจนมาก และมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ห่อข้าวมา

            เรื่องน่ารักก็มี ไม่ใช่มีเรื่องรันทดอย่างเดียว ... มีเด็กเล็ก 3 ขวบอยู่คน น่ารักเชียว ชื่อ น้องโฟล์ก เป็นเด็กผู้ชายเรียบร้อย พูดเพราะ ช่วยเหลือตัวเองได้ดีมาก เค้าเป็นเด็กตัวเล็ก เล็กที่สุดในบรรดาเด็กอนุบาล 20 คน มีเรื่องที่น่าจำสำหรับน้องโฟล์กคือ เวลาเค้าใส่รองเท้า ที่หน้าห้องเรียนจะมีชั้นวางรองเท้าความสูง 3 ชั้น ชั้น 3 ของชั้นวางเท้าจะสูงเท่า ๆ ความสูงของน้องโฟล์ก เด็ก ๆ คนอื่นเวลาจะใส่รองเท้าก็หยิบมาวางกับพื้นแล้วค่อยใส่ แต่น้องโฟล์กนี่เวลาจะใส่ก็เอื้อมเท้าไปใส่รองเท้าบนชั้นซะงั้น วันไหนโชคดีได้ถอดไว้ชั้น 2 ก็เอื้อมเท้าไปใส่ใกล้ ๆ ที่ชั้น 2 ถ้าถอดไว้ชั้น 3 ก็เอื้อมเท้าไปใส่ที่ชั้น 3 นู่น นึกภาพเด็กที่ยกเท้าแทบจะเสมอหัวเลยเวลาจะใส่ ถามครูประจำชั้นก็บอกว่าเค้าทำของเค้าอย่างนี้มาตลอด ดูทีไรก็หัวเราะทุกที ยิ่งตอนกลางวันมืออีกข้างถือปิ่นโต อีกข้างถือกระติกน้ำ เท้ายกสูงเอื้อมไปใส่รองเท้า ยังกะเด็ก "วัดเส้าหลิน"

            มีโอกาสจะกลับไปหาเด็กที่โรงเรียนนี้อีก จริง ๆ แล้วโรงเรียนที่ด้อยโอกาสยังมีอีกเยอะมาก แต่ที่เห็นกับตา ได้ยินกับหู ได้สัมผัสเอง ก็ที่นี่เป็นที่แรก ปกติทำงานอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย ไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องโรงเรียนกันดารเท่าไรนัก ... ต้องขอบคุณแรงบันดาลใจจากบันทึกเรื่องราววันเด็กและวันครูจากทุกท่านด้วย ที่ทำให้บันทึกนี้เกิดขึ้นค่ะ

            ขอบคุณค่ะ .. มีภาพมาฝากเล็กน้อย


โฉมหน้า น้องโฟล์ก ด้านหลังเป็นชั้นวางเท้าสูง 3 ชั้น
--------------------------------------------------------------------------------------


คุณตูนแจกขนมเค้กให้เด็กอนุบาล
--------------------------------------------------------------------------------------


ที่โรงอาหารเด็กชั้นประถม เสื้อดำคือพี่โอ๊ก เสื้อเหลืองพี่นัช
เสื้อชมพูครูแจ๊ว ครูประจำชั้นเด็กอนุบาล
--------------------------------------------------------------------------------------

            รัตน์ทวี อ่อนดีกุล

หมายเลขบันทึก: 73231เขียนเมื่อ 18 มกราคม 2007 11:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • ดีใจที่มหาวิทยาลัยสนใจโรงเรียน
  • ท่าทางคุณตูนเธอรักเด็กนะครับ
  • ขอบคุณมากครับ
  • นั่งอ่านไปทั้งซึ้งทั้งขำไปพร้อมๆ กันค่ะ  เด็กๆ น่ารักมาก
  • ดูท่าทางพี่ตูนรักเด็กอย่างที่อาจารย์ขจิตบอกค่ะ...แต่ขนมเค้กที่ถืออยู่ถึออยู่แจกเด็กหมดเลย...หรือแอบหยิบทานเองไปบ้างคะ...เพราะหน้าตาน่าหม่ำมากๆ

ทั้งจี้ ทั้งเศร้า

บางตอนอ่านแล้วหัวเราะหึ หึ

บางตอนอ่านแล้วก็ทอดถอนใจ...

รวมความแล้ว  โอบันทึกได้ประทับใจมากกก ๆๆ เลยค่ะ

กลับไปอีกครั้ง  อย่าลืมเก็บภาพตอนน้องโฟล์ก ใส่รองเท้า นะคะ

  • ก่อนเดินทางไปเรา นึกถึงแต่ความสะดวกสบายของตัวเองเป็นสำคัญ  คิดถึงผลการประเมินที่จะต้องนำกลับมาส่งให้กับอาจารย์
  • แต่พอไปเห็นเด็กๆ ได้พูดคุยกับครูและผู้ปกครอง (ที่ค่อนข้างสูงอายุมาก) ทำให้เรานึกถึงตัวเองน้อยลง  และรู้สึกว่าตัวเองมีบางอย่างมากจนเกินความจำเป็น  และ ควรอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันให้กับคนในสังคมที่มีน้อยเกินความจำเป็น
  • จำได้ว่าได้พูดคุยกับน้อง ป.6 คนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่กับตากับยายในบ้านที่เป็นกระต๊อบบนพื้นที่นาที่ตากับยายรับจ้างเฝ้าให้เจ้าของนา  เนื่องจากเมื่อเค้าจบ ป.6 เค้าจะต้องขี่จักรยานบนคันนาและถนนรวมกันกว่า 10 กม. เพื่อไป รร. จึงถามเค้าว่าแล้วจะทำอย่างไร ได้รับคำตอบว่า "หนูจะตื่นให้เช้าขึ้นค่ะ"  และได้ถามน้องต่อว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร  น้องตอบว่า "อยากเป็นหมอค่ะ" 
  • กลับมา ทบทวนอนาคตของการศึกษาไทย  โอกาสที่รัฐบาลให้กับเยาวชน  มากหรือน้อยเกินไป  แล้วให้ไปไปแล้วถึงเด็กๆ หรือไม่ 
  • ได้พูดคุยกับโอว่า  จะหาโอกาสไปเยี่ยมน้องๆ หาทุนอาหารกลางวันไปฝาก  นำเสื้อผ้าและของเล่นเล็กๆ น้อยๆ กลับไปให้น้องๆ ถ้าใครอยากสนใจไปเยี่ยมน้องๆ ด้วยกันเชิญแจ้งมานะคะ

....น่าดีใจ ที่อะไรรอบตัว ที่เราไม่เคยได้สัมผัส และเมื่อเราได้สัมผัส มันกลับมีคุณค่า

...."สิ่งที่ไม่เคยคิดถึง กลายเป็นเรื่องที่น่าคิดถึงให้จดจำ" หลายคน ที่มีหลายสิ่ง กลับมองว่าไม่มีอะไรให้น่าจดจำรอบตัวเลย บันทึกเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจน ว่าเรา

...."อย่ามองผ่านแม้แต่เรื่องอะไรรอบตัว และนึกถึงคนอื่นๆ รอบตัวแม้มองไม่เห็นเค้าเลยก็ตาม"

....ไม่อยากให้เรืองดีดี เลือนไปจากความทรงจำ ยังมีเด็กด้อยโอกาสที่เค้ารอโอกาสจากเราอีกเยอะ ซึ่งเราไม่มีทางแม้แต่จะช่วยเหลือ เค้าได้ทั้งหมด

....อย่าเก็บเค้าไว้เป็นความทรงจำ ปันน้ำใจ ปันความสุขให้เค้า

....เท่าที่เราทำได้

....อยากให้ทุกคน...โอ...นึกถึงเรื่องดีดี และคนที่แย่กว่าเรา ไว้เตือนตัวเองทุกครั้งที่ท้อ และ ลืมคิดที่จะใช้เงินให้อย่างคุ้มค่า

....ขอบคุณคุณครูที่อุทิศชีวิตเพื่อเด็กทุกคนนะคะ

....และท้ายที่สุด คุณครูที่เราควรจะให้ความเคารพอยู่เสมอ คือ ตัวเราเอง...อย่าลืมนะคะ ทุกครั้งที่เราท้อ มีปัญหา คนแรกที่ตอบคำถามว่าเราควรจะทำยังไง ก็คือตัวเราเอง จะผิดจะถูกก็ตัวเราเอง

....ครูที่ดีที่สุดอีกคนนึง ซ่อนอยู่ในตัวเราเอง เคารพในการตัดสินใจของตัวเอง และเชื่อมั่นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองนะคะ

ขอบคุณบันทึกของคุณโอที่ทำให้ทุกๆ คนได้มีโอกาสแชร์ความคิดเห็น และย้อนกลับมาให้ข้อคิดกับตัวเองด้วยนะคะ

ถ้ายังมีคนอ่านกระทู้นี้ เจ้าของกระทู้ครับ ผมขอ ที่อยู่ รร. forward มาทาง เมลได้ไหมครับ และขอรูปด้วยนะครับ ผมจะทำโครงการพัฒนา อ่ะครับ ขอบคุณครับถ้าอ่าน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท