เมื่อเราพยายามที่จะปรับระบบการทำงานต่างๆเพื่อการพัฒนานั้น เราจะพบอุปสรรคประการหนึ่งก็คือ ต่างคนต่างทำ ทั้งที่ทุกคนก็หวังดีด้วยกันทั้งนั้น
แม้เราจะพยายามหาวิธีการทำงานร่วมกัน โดยใช้คำต่างๆที่สื่อความหมายในการพยายามที่จะทำงานร่วมกัน เช่น ระบบชุมชน ระบบชนบท วิเคราะห์ระบบ การวิจัยเชิงระบบ ระบบการทำฟาร์ม การทำงานแบบมีส่วนร่วม การวิจัยแบบมีส่วนร่วม ฯลฯ
ก็ยังมีปัญหาว่าเราก็ยังไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีพลังในการพัฒนาที่แท้จริง
ผมพยายามมองหาสาเหตุต่างๆของปัญหา
ตามหลัก “สมุทัย” ของอริยสัจสี่ ก็พบว่า
สาเหตุใหญ่ที่สุดของปัญหาก็คือ “การพิจารณาแบบแยกส่วน” ในกระบวนการเรียน การศึกษา การวิจัย และกระบวนการทำงานพัฒนาในแทบทุกระดับ และทุกระบบ
และขอพูดให้ชัดตรงนี้ว่า “การพิจารณาหรือวิเคราะห์อย่างแยกส่วน” เป็นคนละเรื่องกับ “การทำงานแบบแยกส่วน”
เราสามารถทำงานแบบแยกส่วนได้อย่างไม่มีปัญหาเลย ถ้าเราไม่พิจารณาอย่างแยกส่วน และ โดยส่วนตัวนั้น ผมยังเห็นด้วยกับการทำงานอย่างแยกส่วน แต่ ไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาอย่างแยกส่วน ครับ
แล้วสาเหตุของการพิจารณาแบบแยกส่วน คือ อะไร
เท่าที่สังเกตก็คือ “ประสิทธิภาพ” ของการทำงานแบบ “แยกส่วน” สูงกว่า การทำงานแบบเป็น “ระบบ”
และเป็นการมอง “ประสิทธิภาพ” แบบแยกส่วน ออกจาก “ประสิทธิผล” ซึ่งเป็นเรื่องการให้ความสำคัญของ “กระบวนการ” มากกว่า “ผลลัพธ์”
เพราะถ้ามอง “ประสิทธิผล” แล้ว การแยกส่วนแทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แม้จะมี “ประสิทธิภาพ” สูงกว่าก็ตาม(ยกเว้นในบางกรณีพิเศษจริงๆที่ขีดจำกัดในการพัฒนามีเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง เพียงด้านเดียว)
ถ้าเราจะลดการพิจารณาแบบแยกส่วน เราต้องลดการตัดสินการทำงานด้วยประสิทธิภาพ และเพิ่มการวัดประสิทธิผลแทน
ผมถือว่า นี่คือ “นิโรธ” ของการแก้ไขปัญหา “การพัฒนา” ที่ดีที่สุด เท่าที่นึกออกตอนนี้ครับ
แล้ว “มรรค” ละคืออะไร
ก็น่าจะเป็นการกำหนดตัวชี้วัดในการทำงาน หรือ KPI นั่นแหละครับ
ถ้า KPI เราเน้น “ประสิทธิผล” มากกว่า “ประสิทธิภาพ” และ “กระบวนการ”
เราก็จะทำให้การพิจารณาแบบแยกส่วน เป็นการพัฒนาแบบ “องค์รวม” มากขึ้น
และน่าจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการพัฒนาทุกระดับ และทุกระบบ
ตั้งแต่ระบบการศึกษา การวิจัย การสร้างองค์ความรู้ และการพัฒนา
นี่เป็นอีกความฝันหนึ่งของผมในเช้าวันนี้ครับ
มันแยกส่วนไปเรียบร้อยแล้วจะทำอย่างไรดีครับอาจารย์?
ไม่รู้จะโทษใคร ตลาดหรือมหาวิทยาลัย?
นักเรียนก็อยากได้ปริญญาที่แยกส่วน จะได้สมัครงานได้
มหาลัยก็แยกส่วนการสอน จะได้จัดระบบได้
ขืนสอนรวมกันไป ยุ่งตาย!
จะให้อาจารย์ที่จบประวัติศาสตร์ สอนเขียนเรียงความด้วย หรือให้อาจารย์จบการเมืองการปกครอง มาสอนวิธีการวิเคราะห์สื่อวิทยุโทรทัศน์ ก็คงแปลก
น่าสนใจครับ ที่พอมาถึงจุดหนึ่ง เด็กมีความรู้ ความสามารถและทักษะไม่ถึงจุดที่เราหวังไว้
แต่เราก็ดันทุรังสอนไป (ทั้งที่รู้!!!)
เช่นเด็กมัธยม ยังอ่านหนังสือไม่แตก เขียนเรียงความไม่ได้ แต่พอถึงมหาลัยก็ให้ทำข้อสอบข้อเขียนกัน เขียนกันไม่ได้เรื่อง ก็ไม่คิดที่จะรวมเอาทักษะการเขียนเข้าไปในหลักสูตร
ผมหมายถึงทุกวิชาเลยครับ จะมาเถียงว่าฉันจบภูมิศาสตร์ จะสอนเขียนได้อย่างไร
จบวรรณคดี จะสอนเขียนทำไม เนื้อหาที่จะสอนในเทอมนี้ก็เยอะอยู่แล้ว
มันเลยอีรุงตุงนัง แก้กันไม่ได้สักที
เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับอาจารย์
เรียน ผศ.ดร.แสวง รวยสูงเนิน
ด้วยความเคารพ
ผมคิดว่าเราต้องหาจุดเริ่มที่ทำได้จริงครับ
โดยเฉพาะการคุมจาก KPI ที่สนับสนุนการทำงานที่เป็นรูปธรรม มากกว่านามธรรม
จะช่วยให้ทุกคนปรับตัวได้ง่ายขึ้น
และนำไปสู่การเรียนรู้จากเล็กไปใหญ่ จากต้นแบบสู่การปฏิบัติจริง และค่อยๆปรับไปน่าจะได้ครับ
คุณ อุทัย ครับ
ประสิทธิภาพต้องเอาอยู่แล้วไว้ครับ
แต่ประสิทธิผลควรมาก่อน แล้วก็ impact แล้วค่อยย้อนกลับมาหาประสิทธิภาพ
เหมือนกับการกินอาหารที่เราต้องเน้น (ตามลำดับ)
ถ้าเราเน้นประหยัดอย่างเดียว ไม่สนใจผลที่เกิด (อย่างที่เป็นและทำกันอยู่ทั่วไป) ก็ไปกินลม กินดิน กินทราย หรือกินน้ำทะเลก็ได้ครับ ไม่ต้องจ่ายเงิน และหนักท้องดีด้วย
นี่คือปัญหาของ KPI ในปัจจุบันครับ
ไม่รู้ว่า ชาติหน้าจะแก้ได้หรือเปล่า
เพิ่งได้อ่าน blog ของท่าน อ.แสวง เป็นครั้งแรกครับ ได้สาระและแง่คิดในการทำงานที่ดี และสามารถนำเอาความคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ครับ ถึงแม้ว่าจะเป้นความรู้ใหม่ ที่ผมเพิ่งเข้ามาเรียนรู้ แต่ก็จะพยายามติดตาม เก็บเกี่ยวและร่วมแสดงความคิดเห็นของท่านอาจารย์ครับ
ขอบคุณสำหรับเช้านี้...ที่ให้ความรู้แก่ผมอีกครั้ง
การพิจารราแบบแยกส่วน การทำงานแบบแยกส่วน พิจารณาแบบรวมๆ แล้วมาทำแบบแยกส่วน มันจะไม่ยุ่งเหรอคะ งงๆคะ แล้วทำไมรุ้คะว่าคนเราพิจารณาจากประสิทธิภาพ ไม่ได้มองที่ประสิทธิผล อ๋อรุ้แล้วคะ เป็นเหมือนการทำงานเพื่อเอาหน้ารอดไม่ได้มองที่ประสิทธิผลว่าผลจะเป็นอย่างไรขอให้ตัวเองได้ทำตามที่ได้รับมอบหมายมา รุ้สึกเหมือนกันคะ เรียนไปแล้วรุ้สึกว่าไม่ได้อะไรเลย ว่างเปล่า หรืออาจเป้นเพราะ เราเองที่ไม่ใส่ใจใฝ่หาเอง
งง ? ความรู้ผมยังอ่อนหัด ต้องได้รับการพัฒนาอีก
คุณชอลิ้งเฮี้ยงครับ ผมว่าคุณต้องเป็นคนเดียวกับ นักรบมีดสั้น ใช่ไหมครับ ไม่งั้นคงไม่ถึงกับใช้ชื่อนี้เป็นชื่อเล่นนะครับ คำถามที่ถามมาตอบใหชัดที่เดียวนั้นค่อนข้าง ยาก
แต่ในความยากก็มีความง่าย ลองไปอ่านอีกหลายตอนที่ผมเขียนเรื่อง "บูรณาการ" จะชัดเจนขึ้น
ทุกคำที่ถามมาเกือบจะเป็นคำเดียวกัน แต่คนละบริบทกันเท่านั้นเองครับ
แต่ในที่สุดต้องเป็นหนึ่งจึงจะเป็นของจริง ถ้ายังไม่หนึ่งให้ไปทบทวนใหม่ได้เลยว่าขาดอะไร เหมือนกับ Joke ที่ว่า เจ้านายถูกต้องเสมอนั่นแหละครับ
ผมเขียนให้ใหม่ก็ได้ว่า
กฎข้อที่ ๑ บูรณาการที่แท้จริงคือทุกอย่างต้องเป็นหนึ่งเดียว
กฎข้อที่ ๒ ถ้าทำแล้วยังไม่เป็นหนึ่งเดียว ให้กลับไปทำข้อที่ ๑ ใหม่ครับ
ถ้าเบื่อก็พักสักหน่อย แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ครับ
เมื่อเต็มและสมบูรณ์จะกรมแบบไม่มีเหลี่ยม ไม่มีมุม แบบสูงสุดคือไร้กระบวนท่าครับ
ถ้ายังมีเเหลี่ยมมีมุม แสดงว่ายังขาด หรือเกินไปครับ
นี่อาจสูงเกินไปสำหรับคุณได้
สงสัยส่งมาใหม่ครับ
วงกลมคือธรรมชาติครับ แสดงถึงความลงตัวและสอดคล้องกันครับ
เป็นปรัชญาครับต้องลองคิดดูแล้วจะเข้าใจครับ