ระบบการศึกษาของไทย ได้แบ่งออกเป็น ๓ ระดับ คือ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
โดยมีปรัชญาของระดับการศึกษา ทั้ง ๓ คือ
· ระดับที่ชั้นประถมศึกษา ที่อยู่ในขั้นตอนการรับความรู้เข้ามาสู่ตนเอง แบบนักเลียนแบบ ว่าตามหรือท่องจำแบบยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเลียน ทำไมต้องท่องจำ แต่ขอจด ขอจำไว้ก่อน
· ระดับมัธยมศึกษา ที่เริ่มทำความเข้าใจ แบบนักเรียน ที่นำความรู้ที่ได้สู่ความเข้าใจ ถึงเนื้อหาสาระ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีความสำคัญในเรื่องใด ว่าอย่างไรบ้าง
· ระดับอุดมศึกษา ที่สร้างความสมบูรณ์ของการเรียนโดยการนำระบบความรู้ที่ได้มาพัฒนาตนเอง จนเป็นผู้มีปัญญา ที่เรียกขานกันในนามของ “บัณฑิต” ที่ยังแบ่งได้อีกอย่างน้อย ๓ ระดับ
ทีนี้พอมาพิจารณาในมุมของการจัดการระบบการศึกษา นั้น เรายังมีระบบผสมผสานทั้งสามแบบการเรียนรู้ อยู่ในทุกระดับ
การศึกษาระดับชั้นประถมก็ยังมีการพัฒนาปัญญาในบางประเด็นที่ไม่ซับซ้อนลึกซึ้งนัก
ระดับมัธยม ก็ยังมีการท่องจำแบบประถม และระดับการพัฒนาปัญญาที่สูงขึ้นมาอีกหน่อย
ในขณะที่ระดับอุดมศึกษา ก็ยังมีการท่องจำแบบประถม และมีการทำความเข้าใจแบบมัธยมเพียงแต่จุดเน้นของระบบต่างกัน
แต่เมื่อเราพยายามจะพัฒนาการศึกษาในระดับต่างๆนั้น เรายังมีการพัฒนาในระดับประถมเป็นหลัก และการพัฒนาในระดับความเข้าใจบ้างในบางประเด็น
แต่จะไม่ค่อยพบระบบการศึกษาที่นำความรู้มาพัฒนาเป็นปัญญาให้เกิดความ “อุดมศึกษา” ตามระดับที่ควรจะเป็น
คนที่อ้างตนว่าเรียนหรือจบระดับอุดมศึกษาก็ยังไม่ได้มีการนำความรู้มาพัฒนาเป็นปัญญา หรือ การสอบก็ยังเป็นการวัดการท่องจำ เป็นสวนใหญ่ ไม่ค่อยมีการวัดความรู้ ความเข้าใจ และปัญญา หรือ ทักษะในการใช้ความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง
แล้วเราจะเรียกว่าจบการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้อย่างไร
หรือว่าอุดมศึกษาในความหมายปัจจุบันเป็นเพียงการพัฒนาการท่องจำอีกระดับหนึ่งเท่านั้น
ผมจึงนั่งงมองระบบการศึกษาแบบยังไม่ค่อยเข้าใจว่า เรากำลังทำอะไรกัน
หรือว่าผมเข้าใจอะไรผิดไป ช่วยสะกิดเตือนผมหน่อยได้ไหมครับผมจะได้อยู่กับร่องกับรอย ไม่มานั่งฝันลมๆแล้งๆอย่างนี้
ขอบคุณล่วงหน้าครับมีของจริงมาร่วมให้ความเห็นค่ะอาจารย์ มีเหมือนกันเวลาที่มีคนได้เกียรตินิยมเพราะคะแนนสูง เมื่อจบไปทำงาน ทางโรงพยาบาลประเมินกลับมาว่าทำงานไม่เป็น สู้พวกที่เรียนได้คะแนนน้อยกว่าไม่ได้...ทบทวนให้ดีก็คือคะแนนสูงมาจากการที่ข้อสอบวัดแต่ความจำ บวกกับเป็นเด็กที่ฐานะทางบ้านดีไม่ต้องช่วยทำงานแม้แต่งานบ้าน ก็เลยมีเวลาท่องหนังสือมากกว่าเพื่อน พอจบแล้วก็เลยยังทำงานอะไรไม่เป็นค่ะเอาความรู้ไปใช้ก็ไม่ได้...แต่เธอได้เกียรตินิยม
จากข้อความของอาจารย์ ที่เขียนข้าพเจ้าคิดว่า ที่อาจารย์เขียนมีส่วนถูกเป็นอย่างมาก ปัจจุบันไม่มีการพัฒนาเลยท่องจำอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์ และการท่องจำก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการเข้าใจถ้าไม่เข้าใจแล้วท่องจำไปก่อนแล้วมาทำความเข้าใจก็ดีไม่เสียหายอะไร
อาจารย์จันทรรัตน์ และท่านสิงห์ป่าสัก
ตอนนี้เราใช้วิธีการเขียนชื่อเรียก ก็ถือว่าพัฒนาแล้ว
ผมว่าถ้าจะให้ประหยัดกว่านี้ก็แจกกระดาษเปื้อนหมึกไปซะเลย เพราะอย่างไรก็มีค่าในทางปฏิบัติเท่าเดิมอยู่แล้ว
จะทำมากให้เหนื่อยเปล่าๆไปทำอะไร
ผมไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมผมจึงสมองทึบขนาดนี้ครับ
ใครเข้าใจช่วยขยายความหน่อยครับ