อ่านบันทึกคุณศิริ รวมทั้งจากคำถามที่ตัวเองก็ได้รับมาหลายครั้งแล้ว เป็นแรงส่งให้เขียนบันทึกนี้ค่ะ
ต้องตอบคำถามตัวเองก่อนว่า ต้องการอะไรในชีวิต รู้ตัวหรือยังว่าชอบทำอะไร อะไรที่คิดว่าทำซ้ำๆกันทุกวันแล้วจะมีความสุขอยู่ได้ไม่เบื่อ เชื่อว่ามีน้อยคนจะตอบได้จริงๆนะคะ ยิ่งเป็นเด็กระดับที่กำลังต้องเลือกว่าจะเรียนอะไรดี ยิ่งคงจะตอบได้ยาก ต้องฟังพ่อแม่และคุณครูแนะแนวกันเสียมากกว่า คงมีเด็กน้อยคนจะมีบุคลิกลักษณะและความตั้งใจมาแต่ดั้งเดิมและรู้ตัวเองว่า อยากจะเป็นอะไร
ถ้าเราคิดว่าจุดมุ่งหมายในชีวิต คือการงานดี มีความก้าวหน้า (ก้าวไปถึงอะไรดี...ผู้อำนวยการ...ผู้ว่าราชการ....ศาสตราจารย์...) มีฐานะมั่นคง (มีเงินเก็บสักเท่าไหร่ดี....เป็นแสน...เป็นล้าน...เป็นสิบล้าน...เป็นหลายๆสิบล้าน...) ....เราในฐานะพ่อแม่ กำลังอยู่ตรงไหน เราจะก้าวหน้าไปได้ถึงไหน เราอยากให้ลูก ก้าวไปไหน...ลองคิดดูนะคะ เราคือคนที่น่าจะรู้จักลูกได้ดีที่สุด เขาคิดเหมือนเราไหม เรารู้ตัวเราเองหรือยัง เรารู้จักลูกจริงๆหรือยัง...ตอบคำถามพวกนี้ให้ได้ก่อนค่ะ
สำหรับตัวเอง...สิ่งที่จะทำให้ลูก สิ่งที่อยากให้มีให้ลูก (ตอนนี้รู้สึกว่าหลายๆโรงเรียน หลายๆสถาบันได้มีการจัดให้เด็กๆแล้ว) ก็คือ ให้ข้อมูลค่ะ สังเกตนิสัยลูกแล้วให้ข้อมูลอาชีพต่างๆ ให้เด็กระดับมัธยมปลายได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสงานอาชีพต่างๆอย่างจริงจัง สัก 1 สัปดาห์ (อาจจะเป็นในช่วงปิดเทอม) ถ้าเป็นไปได้ ให้พวกเขาได้มีโอกาสสัมผัสกับหลายๆอาชีพให้มากที่สุด สักระยะหนึ่ง แล้วให้เขาตัดสินใจอีกทีว่า อะไรที่อยากเรียนรู้นานกว่านั้น ไปฝึกไปดูต่ออีกนานขึ้นหน่อย ว่าเป็นสิ่งที่ชอบจริงไหม อยากจะมีชีวิตทั้งชีวิตทำงานแบบนั้นไหม
เมืองไทยเรา ซึ่งเลือกแล้วเลือกเลย (ทางเดินชีวิต) นั้น น่าจะสร้างโอกาสการให้ข้อมูลสำหรับเด็กๆให้มากที่สุดค่ะ เพราะหากยอมเสียเวลาตรงนี้ (แม้จะเป็นปี) ก็น่าจะยอม เพราะอีกประมาณ 30-40 ปีที่เหลือ เขาจะต้องอยู่กับสิ่งนั้นไปตลอด ในขณะที่ประเทศอย่างออสเตรเลียนั้น เขาสามารถ"ลอง"ได้เสมอ ตัวเองได้พบคนที่กำลังจะจบปริญญาเอกในไม่นานนี้ ซึ่งเริ่มจากการเรียนไม่จบแม้ระดับมัธยมปลาย ไปทำงานกรรมกรทุกรูปแบบมาหลายๆปี แล้วจึงค้นพบตัวเองว่า ไม่ได้อยากทำงานแบบนั้น กลับมาเข้าสู่ระบบการศึกษาแล้วก็เรียนได้อย่างมีความสุขจนน่าทึ่ง ได้พบคนที่มีโอกาสเลือกเปลี่ยนชีวิตแบบนี้มากมายหลายคนค่ะ ชอบระบบแบบนั้นมาก เห็นได้เลยว่า "โอกาส"ในการเลือกทางเดินชีวิตของเขามีอยู่ตลอดเวลา อยากจะกลับมาเข้าระบบการศึกษาเมื่อไหร่ ก็ทำได้เสมอ (เจอแม้คนอายุ 70 กว่าที่กลับมาเรียนปริญญาเอก...ในมหาวิทยาลัยทุกที่นะคะ ไม่ใช่เฉพาะมหาวิทยาลัยเปิดแบบของเรา) และไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรว่าจะขอเอาเรื่องเขาทั้งหลายเหล่านี้มาเล่าให้คนไทยฟังอยู่เหมือนกันค่ะ แต่สิ่งที่จะบอกตรงนี้ก็คือ
ให้ลูกเลือกเองเถอะค่ะ ให้ข้อมูลให้มากที่สุด ความก้าวหน้าแบบที่เราอยากไปถึง อาจจะเป็นคนละอย่างกับลูกก็ได้ค่ะ และจากสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ก็คือ ทุกอาชีพ คนที่ก้าวหน้าและมีความสุข คือคนที่รักสิ่งที่ตัวเองทำ ทำได้ดีและทำได้จริงค่ะ