ถาม: มหาชีวาลัยทำงานภายใต้รูปแบบหรือวิธีการอย่างไรคะ
ตอบ: เราดำเนินงานและประกอบการแบบอิงระบบ
ถาม: อ๋อ! เป็นแบบที่เขาจะให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบใช่ไหมคะ
ตอบ: ไม่ใช่ครับ ผมหมายถึงวิธีการทำงานนะครับ เพราะเราเป็นคนนอก ระบบอยู่แล้ว
ถาม: งง!!คะ ขอคำอธิบายหน่อยได้ไหมคะ
ตอบ: เป็นอย่างนี้ครับ ถ้าเรามองดูโครงสร้างของระบบงาน เราก็จะเห็นว่ามี ระบบราชการ ระบบธุรกิจเอกชน ระบบชุมชน ระบบองค์กรอิสระฯลฯ บังเอิญว่า มหาชีวาลัยอีสานไม่ได้อยู่ในสังกัดของระบบไหนเลย เราเป็นพวกนอกระบบ ทำตัวเหมือนยิปซีเร่ร่อนไปเชื่อมความรู้ เข้ากลุ่มโน้นทีกลุ่มนี้ที เข้าไปแบบพันธมิตรอ่อนน้อมถ่อมตนทำนอง..”บ้านเรือนเคียงกัน แอบมองทุกวันเลยเชียว..เห็นหน้าหน่อยเดียวก็พลอยโน้มเหนี่ยวฝันถึง..” ประมาณนี้
ใครทำดีมีความสามารถเราก็แอบปลื้มแอบชื่นชม ไปเก๊าะเก๊ะขอทำความรู้จัก ถ้าเพื่อนบ้านดีมีน้ำใจ เราไปขอผูกสัมพันธ์ในฐานะ “พันธมิตรทางวิชาการ” เพื่อประสานความแนวคิดแนวทางร่วมกัน โดยตั้งหลักชัยไว้ที่ การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ หลังจากนั้นก็มาดูจุดดีจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเอามากำจัดจุดอ่อน แล้วแปลงรหัสการทำงานให้เป็นตัวช่วยซึ่งกันและกันได้อย่างไร
ถาม: อ๋อ..ที่เล่ามานี้ทำเป็นเหมือนที่เขาพูดๆกันว่าอีแอบใช่ไหมคะ
ตอบ: ไม่ใช่ครับ เราเรียกว่าแบบอิงระบบ
ถาม: ไม่เข้าใจคะ อิงยังไงคะ?
ตอบ: กาลครั้งหนึ่ง เมื่อมานพน้อยจนมุมจนใจ จึงไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ใหญ่ ศ.น.พ. ประเวศ วะสี “ท่านอาจารย์ครับ การทำงานที่ผ่านมา เวลาชาวบ้านไปเชื่อมโยงกับหน่วยราชการ หรือทำงานร่วมกันภายใต้ร่มของระบอบราชการ เราจะไปเจอวัฒนธรรมราชการที่เต็มไปด้วยระเบียนข้อกฎหมายรัดรึงเต็มไปหมด ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี้ก็ติดระเบียบ..กฎกติกาเคร่งครัดบางข้อก็ดี แต่บ้างข้อก็เป็นตุ้มถ่วงที่อึดอัดใจ เป็นข้อจำกัดในการที่จะทำงานเชื่อมโยงกับภายนอกองค์กร เพราะไปไหนก็จะแบกเจ้าระเบียบใส่บ่าเดินเทิ่งๆไปด้วย”
“ ครูบา ระบบราชการเขามีโครงสร้างขนาดใหญ่ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบค่อนข้างรัดกุม ทำให้เวลาจะปรับจะแก้จะทำอะไรแต่ละทีต้องใช้เวลา ของใหญ่จะเคลื่อนไหวลำบาก ในการทำงานร่วมกัน เราอย่าไปแตะระบบ แต่ควรจะทำอิงไปกับระบบ จะมีความเป็นไปได้สูง”
นี่คือที่มาของแนวทางประกอบการทางสังคมที่มหาชีวาลัยอีสานยึดปฏิบัติ ในภายหลังผมมาสรุปว่า สิ่งที่เราไปเผชิญนั้นคือวัฒนธรรมการขององค์กร ในทางปฏิบัติข้าราชการที่เก่งๆเขาจะไม่ยึดระเบียบจนตกม้าตาย หลายท่านพลิ้วได้เก่ง แต่ก็แหล่ตาดูว่าไม่ได้ทำให้ระบบเสียหาย ยังอธิบายได้ว่ายังอยู่ในกติกาไม่ได้ล้ำเส้นยาแดง ในระยะหลังรัฐบาลเปิดไฟเขียวให้ราชการอบรมวิธีบริหารงานภายใต้กระบวนการที่ว่า”การทำงานเชิงรุก” “การกระจายอำนาจ” “วิธีทำงานแบบCEO.” แต่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสำนักจะมีภาวะผู้นำแตกต่างกันอย่างไร? ยกตัวอย่างเช่น ชาวสาธารณสุข เป็นตัวอย่างในการทำงานเชิงรุก มีการประชุมปรับระบบภายใต้ระเบียบเก่า เรียนรู้วิธีที่จะใช้KM.เป็นเครื่องมือในการบริหารองค์กรและตัวบุคคล ทำให้ระบบการทำงานคลายความตึงตัวได้อย่างมาก เรื่องนี้สำคัญแม้แต่สังคมนิยมจ๋าอย่างประเทศจีน ท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ยังมีนโยบายว่า “แมวไม่ว่าจะมีสีอะไร ขอให้จับหนูได้เป็นพอ”
ถาม: น่าสนใจคะ มีหลักการทำงานเชิงรุกอย่างไรคะ
ตอบ: การทำงานเชิงรุก ลำดับแรกต้องลุกจากเก้าอี้เสียก่อน รุกด้วยรอยยิ้ม รุกด้วยการแช็คแฮนด์กัน สวัสดีกัน ทักทายจ๊ะจ๋าข้ามโต๊ะ ข้ามห้อง ข้ามหน่วยงาน ข้ามกระทรวง เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกับโลกภายนอกไม่มีเต่าตัวไหนเดินโดยไม่เอาหัวออกจากกระดองหรอกนะจ๊ะ
ผมว่าระบบ KM ธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
เราน่าจะมาถูกทางแล้วครับ
อย่าเป็นแบบ มาแต่ของเขา ของเราไม่มาอีกนะครับ
สวัสดีครับพ่อครู
มาอ่านเพราะว่าพี่สุและท่านอาจารย์แสวงแนะนำครับ
มาทำความเข้าใจเพิ่มเติมครับ
ได้ความกระจ่างมากเลยทีเดียวครับ
มีคนท่านหนึ่งที่ทำงานอิงระบบมาตลอดที่อยากแนะนำครับ ท่านจะมาเป็น Big boss คนใหม่ที่รพผมครับ
สวัสดีค่ะ มาศึกษาวิธีการ เอ แล้วทำไมกระทรวงศึกษาไม่คิดทำบ้าง หรือทำแล้ว คนมหาชัยไม่รู มัวขายปลาเค็มอยู่คะ พ่อครู
ตามมาศึกษาครับพ่อครูบา