หากเราพูดถึงเด็ก ก็จะมีนิยามของเด็กลอยมา คือ เด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาวที่รอการแต่งแต้ม เติมสี ในผ้าขาวผืนนั้น เด็กเป็นสัญลักษณ์ของความไร้เดียงสา ซึ่งเวลามองแล้วทำให้รู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ เพราะความน่ารัก น่าชัง สมวัย ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไปของเด็กปกติ เป็นโลโก้ ต่อผู้พบเจอ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง มุมของเด็กป่วยไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่เห็นเด็กป่วยแล้วรู้สึก อยากเข้าไปพูดคุย หยอกล้อ เล่นด้วย แต่ก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่าคงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปพุดคุยด้วย เพราะอาจจะเห็นภาพอาการเจ็บป่วยแล้ว ทำให้ตัวเองหดหู่ (ซึ่งมันก็เคยเป็นความคิดฉันเมื่อก่อน)
หลังจากที่เข้าไปเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลเด็ก ห้องเรียนสารสนเทศได้ติดตามครูผู้สอนเด็กป่วยไปรับเด็กตามตึกต่าง ๆได้พูด ได้คุย ได้สอน ได้เรียนรู้พร้อม ๆ น้อง ๆเด็กป่วย ทำให้รู้สึกได้ว่า แท้ที่จริงแล้วเด็กป่วยก็เหมือนเด็กปกติทั่วไปที่ต้องการให้คนมาพูดคุย มาหยอกล้อ เล่นด้วย สร้างรอยยิ้มให้กับตัวเขาเอง เพราะอาการเจ็บป่วยก็ทรมานพอทนอยู่แล้ว จึงเหมือนอยากมีคนดูแลเป็นพิเศษ อาการเล่านี้สังเกตได้และสัมผัสค่ะ น้อง ๆเด็กป่วยเหมือนอยากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่สักช่วงเวลาหนึ่ง พอให้ตนเองรู้สึกดี มีอะไรแปลกใหม่ทำ นอกเหนือจากการอยู่บนเตียง กับการที่เราเข้าไปทำกิจกรรมกับเด็กป่วยทำให้เด็กป่วยมีความสุข ผู้ปกครองก็มีความสุขเมื่อได้เห็นบุตรหลานของตัวเองมีความสุขขณะเจ็บป่วย
เด็กป่วยบางคนไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายเพียงใด ซึ่งมีอยู่กรณีหนึ่ง น้องอายุ 5 ขวบ ป่วยเป็นโรคมะเร็ง แต่น้องไม่รู้หรอกว่ามันเป้นโรคที่รักษาไม่หาย อาการก็จะเหมือนผู้ใหญ่ที่ป่วยเป้นโรคมะเร็งทุกอย่าง ผมเริ่มร่วง ผูนคนที่พบเห็นก็จะมองน้องแปลก ๆ แล้วถามว่าหนูเป็นโรคอะไร น้องก็ตอบได้หน้าตายิ้มแย้มว่า "หนูเป็นโรคมะเร็งค่ะ"เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำค่ะ
เพียงเราหยิบยื่นโอกาสให้เด็กป่วยเหมือนเด็กปกติก็คงจะดีไม่น้อย
โดนใจจัง
ทำให้ย้อนกลับเมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก ตอนนั้นฉันป่วยเป็นเพียงแค่ ไข้หวัดใหญ่
ช่วงนั้นฉันอาศัยอยู่กับลุงและครอบครัวลุงของฉันในบ้านหลังใหญ่ ที่ฉันกลับรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว ฉันไม่รู้ตนเองเลยว่าป่วย เพราะฉันรู้แต่ว่าฉันกำลังสนุกสนานอยู่กับเกมวีดีโอ ของฉันและไม่ยอมหยุดเล่นแม้มีคนมาตักเตือน
จนกระทั่ง ลุงของฉันทักว่า ฉันหน้าแดง และจับตัวของฉัน และบอกให้คนที่บ้านพาฉันไปพบหมอด่วน
เมื่อถึงมือหมอ รับทราบว่าฉันมีไข้ขึ้นสูง 40 องศา ฉันไม่รู้สึกอะไร นอกเสียจากยังเสียดายที่เล่นเกมยังไม่หายสนุกเลย
แต่เมื่อฉันต้องนอนอยู่บนเตียง ในโรงพยาบาล ฉันกลับได้รับความห่วงใย จากญาติพี่ต้องของฉันหลายคน ลูกพี่ลุกน้องของฉันคนหนึ่ง ลงทุนซื้อซาวอะเบ้ามาให้ฉัน ฉันดีใจมาก
และมีอีกหลายคน มาเยี่ยมฉันและยิ้มให้ฉัน โดยไม่ดุไม่ว่าเหมือนที่ครั้งฉันเล่นซนเพลินแล้วโดนดุด่า คราวนั้น นั้น
ฉันมีความรู้สึก เอิบใจ ได้ใจขึ้นมาในทันที ฉันบอกกับตัวเองว่า ขอบคุณที่ฉันป่วย ในวันนี้
การป่วยของฉันในวัยเด็ก วันนั้นทำให้ฉันรับรู้ว่า โอกาสของการให้ แม้เป็นเพียงแค่รอยยิ้ม และทักทาย เท่านั้นเอง ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำไม่ว่า คนคนนั้นจะเป็นเด็กหรือไม่ก็ตาม
ที่ผ่านมาทำเป็นบอกตัวเองว่า ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรัก จริงๆแล้ว อยู่ใกล้ตัวแต่เรามองไม่เห็นเสียเองนั่นแหละ
เขียนเพื่อรำลึก และปลอบประโลมใจตนเอง