นางสาวมุ่ย หวูทิ กับพวก เกิดในราชอาณาจักรไทย เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายหวู เตียนแค้ง และนางนำ เตียนแค้ง เกิดที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยบิดามารดาของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกได้จดทะเบียนสมรสที่อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย บิดาของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกเป็นคนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ส่วนมารดาเป็นคนต่างด้าวอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ว่าด้วยคนเข้าเมือง นางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกจึงมีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 มีคำสั่งที่ อ.ด.19/4497 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 เรื่องถอนสัญชาติโดยส่งสำเนา หนังสือที่ อ.ด.19/3780 ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2520 เรื่องการถอนสัญชาติ แจ้งคำสั่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีสั่งถอนสัญชาติไทยของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวก ให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีแก้ไขทะเบียนบ้านโดยให้ถอนสัญชาติไทยและจำหน่ายชื่อนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวก ออกจากทะเบียนบ้านเลขที่ 57 ถนนแสงฉ่ำอุทิศ ตำบลหมากแข้ง ซึ่งนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกมีภูมิลำเนาอยู่ เป็นเหตุให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีขีดฆ่าและถอนชื่อและสัญชาติไทย ของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าว
นายหวู เตียนแค้ง ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลขอให้พิพากษา หรือสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีเพิกถอนคำสั่งที่ อ.ด.19/4497เกี่ยวกับการถอนสัญชาติไทยของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกโดยนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกมีสัญชาติไทยตามเดิมต่อไป และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีสั่ง ให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีเพิกถอนการถอนชื่อและสัญชาติของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกในทะเบียนบ้านเลขที่ 57 ถนนแสงฉ่ำอุทิศ
คดีทำในสามศาลโดยศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาว่า คำสั่งของจำเลยมีความหมายเพียงว่าจำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้ง 7 คนถูกถอนสัญชาติไทยแล้วตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 จึงมีคำสั่งให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีจำหน่าย ชื่อโจทก์ทั้ง 7 คนออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าวซึ่งตามฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้มีการเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนบ้านเลขที่ 57 ถนนแสงฉ่ำอุทิศ เกี่ยวกับสัญชาติซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง โจทก์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร์ พ.ศ.2499 กำหนดไว้เสียก่อนเมื่อโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์ได้สัญชาติไทยและไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 จำเลยไม่มีอำนาจถอนสัญชาติของโจทก์ และไม่มีอำนาจสั่งให้เทศบาลเมืองอุดรธานีถอนชื่อโจทก์ออกจากทะเบียนบ้านเลขที่ 57 ถนนแสงฉ่ำอุทิศ พิพากษากลับว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ให้จำเลยเพิกถอนคำสั่ง (หนังสือ) ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีที่ อ.ด.19/4497 ในส่วนที่เกี่ยวกับการถอนสัญชาติของโจทก์เสีย ให้จำเลยสั่งให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีเพิกถอนการถอนชื่อและสัญชาติของโจทก์ในทะเบียนบ้านเลขที่ 57 ถนนแสงฉ่ำอุทิศ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ศาลละ 1,000 บาท
ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาว่าบุคคลที่จะถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1 (3) ดังกล่าวนั้นได้แก่บุคคล 2 ประเภทคือ
1.บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยจากบิดาที่เป็นคนต่างด้าว และบิดานั้นเป็นคนต่างด้าวผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หรือ
2.บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยจากมารดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฎบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และมารดานั้นเป็นคนต่างด้าวผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
คดีนี้ข้อเท็จจริงรับกันว่าบิดาโจทก์คือนายหวู เตียนแค้งเป็นคนต่างด้าวผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองและมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวโดยชอบด้วยกฎหมายส่วนมารดาโจทก์แม้ข้อเท็จจริงจะรับกันว่ามารดาโจทก์เป็นคนต่างด้าวอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดย ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง แต่ข้อเท็จจริงก็รับกันว่าบิดา และมารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมายที่อำเภอเมืองหนองคาย เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2494 และโจทก์ทั้ง 7 คนเกิดในประเทศไทยหลังจากนั้นนายหวู เตียนแค้ง จึงเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์เกิดจากมารดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวแต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายไม่ โจทก์ทั้ง 7 คน จึงไม่ใช่บุคคลประเภทหนึ่งประเภทใด ที่จะต้องถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ข้อ 1(3) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผู้รักษาการตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ก็เข้าใจเช่นนี้ดังที่ปรากฏตามสรุปข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ข้อ 9 ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ มท.0313/ว.793 ลงวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2520 เมื่อเป็นเช่นนี้คำสั่งของจำเลยที่ให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์ทั้ง 3 คน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฎิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1 (3) ซึ่งมีผลให้คำสั่งของจำเลยที่สั่งให้ นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุดรธานีดำเนินการแก้ไขทะเบียนบ้านเลขที่ 57 เกี่ยวกับเรื่องการถอนสัญชาติไทยของโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 500 บาทแทนโจทก์ด้วย
ในการพิจารณาตัดสินคดีของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกจะเห็นว่าศาลไทยได้วินิจฉัยตัดสินคดีโดยยืนอยู่บนความถูกต้องและเป็นธรรมมิได้นำเอาความเป็นบุคคลที่มีเชื้อชาติต่างประเทศของคู่ความมาจำกัดในการให้ความยุติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าศาลไทยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิของมนุษย์ที่ไม่ควรถูกละเมิด
จากคดีของนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวก ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของบุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน ซึ่งแม้บุคคลดังกล่าวจะมีองค์ประกอบในการได้สัญชาติไทยตามที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ตามแต่เนื่องจากการที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังขาดความชัดเจนทำให้ การใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบกับ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อโต้แย้งในกรณีการถูกถอนสัญชาติไทย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศาลไทยได้ให้ความยุติธรรมจึงทำให้ปัญหาดังกล่าวยุติลงไปได้
ปัจจุบันนางสาวมุ่ย หวูทิกับพวก มีสถานะเป็นคนไทยโดยมีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนตามกฎหมายสัญชาติที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่นางสาวมุ่ย หวูทิกับพวกเกิดไม่มีความเห็น