เป็นธรรมดาที่วิถีการทำงานร่วมกับคนหมู่มาก ย่อมจำเป็นต้องยึดมั่นในความเป็นเอกภาพของทีมงาน เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียวกัน และในวิถีการก้าวเดินก็ย่อมต้องสู้เผชิญกับอุปสรรคอันหลากหลาย ทั้งที่เป็นอุปสรรคแห่งเนื้อหาโดยตรง หรือแม้แต่อุปสรรคที่เกิดจากภาวะรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อกันและกัน...
.......
ความเข้มแข็งของมวลมนุษยชาติ
มักก่อเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนาน
ประสบการณ์จะช่วยให้มนุษยชาติไม่ขาดกลัวต่ออุปสรรค...
ประสบการณ์จะเป็นเสมือน "ครู" ผู้พร่ำสอนให้หาญกล้า ทรนง
เมื่อใดก็ตาม...
หากเธอสามารถหลอมรวมความศรัทธาและความเชื่อมั่นเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
เมื่อนั้น,...
เธอก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่ออุปสรรคใด ๆ อีกต่อไป
.......
เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา (๑๒ มกราคม ๒๕๕๐) ผมได้รับเชิญไปเป็นประธานในที่ประชุมขององค์กรพันธมิตรนิสิตอันเป็นทีมหัวเรือใหญ่จัดโครงการ "ต้านลมหนาว สานปัญญา" ณ โรงเรียนในห้วยข่าเฒ่า อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
กิจกรรมครั้งนี้ประกอบด้วยองค์กรนิสิตหลายองค์กร เช่น พรรคชาวดิน ชมรมวิทยุสมัครเล่น ชมรมรักษ์พัฒนา ชมรมนอกหน้าต่าง
ผมกล่าวกับที่ประชุมในทำนองว่า...การที่องค์กรนิสิตได้ร่วมแรงใจทำกิจกรรมด้วยกัน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดีในการจัดกิจกรรม เพราะแทนที่จะต้องแยกย้ายกันไปจัดกิจกรรมกันคนละที่คนละทาง ซึ่งอาจจะส่งผลให้กิจกรรมไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ เพราะเงื่อนไขงบประมาณอันจำกัด, กำลังคนที่น้อยนิด, ความหลากหลายและจำนวนกิจกรรมที่อาจมีไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของชุมชนเป็นหลัก
ผมเอ่ยคำชื่นชมพวกเขา,, ในฐานะที่เปิดใจทำงานร่วมกัน และพร้อมที่จะก้าวเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่ขลาดกลัวต่ออุปสรรคนานาประการที่ยืนตระหง่านขวางอยู่เบื้องหน้า หรือแม้แต่เร้นแฝงรออยู่อย่างลึกเร้น
ผมขอให้แต่ละองค์กรได้นำศักยภาพขององค์กรออกมาทำงานอย่างเต็มที่ ให้ทุกองค์กรได้มีเวทีความคิดของตนเอง ซึ่งหมายถึง การได้รังสรรค์กิจกรรมตามแบบฉบับที่ตนเองสันทัดและจัดเจน อันจะช่วยให้แต่ละองค์กรสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และไม่รู้สึกขัดเขิน หรือแม้แต่อึดอัดที่จะทำในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด...แต่ก็ต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของเอกภาพรวมของเนื้อแท้แห่งกิจกรรมนั้น ๆ
ผมฝากแนวคิดการทำงานในรูปแบบหมู่คณะเช่นนี้ไว้กับพวกเขา ๒ ประการ อันได้แก่
และที่สำคัญ คือ การมอบความไว้วางใจในกันและกัน ก้าวเดินไปอย่างมีจังหวะ ท่ามกลางวิถีทางอันยาวไกล การเดินโดยมีเพื่อนร่วมทาง ย่อมดีกว่าการเดินทางอย่างเดียวดาย
รวมถึง, การมุ่งมั่นรีบเร่งไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางเพียงสถานเดียว แต่ลืมที่จะเก็บเกี่ยวเรื่องราวระหว่างทางก่อนไปสู่จุดหมายปลายทางนั้น ๆ
เพราะบางที เราอาจไม่มีเวลาวกกลับมาเก็บเกี่ยวเรื่องราวที่หล่นหายในเส้นทางสายนั้นอีกเลย, ก็เป็นได้...
ใช่ค่ะ "ความศรัทธาและเชื่อมั่นในตนเองและผู้เกีวข้อง" ทำให้เกิดพลังในการทำงานค่ะ ขณะนี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์กำลังสร้างศรัทธาและเชื่อมั่นให้กับนักศึกษาให้ ลปรร.ในวงนักศึกษา share.psu.ac.th เราจะมีการประชุมกันวันที่ 19 ม.ค.2550 นี้ค่ะ แล้วจะเล่าบรรยากาศการประชุมนะ มีแนวความคิดว่าหากมีเวลาและโอกาส จะพาทีมงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกิจการนิสิตมน. ไม่แน่ใจว่าจะขัดข้องหรือเปล่า?
เท่าที่ผมผ่านงานทั้งในขณะที่เป็นนิสิต เมื่อออกมาทำงานบริษัท และในมหาวิทยาลัยในฐานะอาจารย์นั้น ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้วทุกคนก็มีความหวังดีให้กับองค์กรอยู่ แต่ระดับความหวังดีนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามภูมิหลังและความคาดหวังในหน้าที่การงานน่ะครับ
ผมอยากจะเพิ่มมุมมองอีกสักนิดเกี่ยวกับเรื่องการทำงานร่วมกัน โดยผมทึกทักเอาแล้วว่าทุกคนนั้นหวังดี (มากบ้างน้อยบ้าง)
ผมเคยได้รับข้อคิดที่มีค่ามาก จากอาจารย์สุริชัย หวันแก้ว ในขณะที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับการวิจัยสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง นิสิตนักศึกษาสองมหาวิทยาลัย ต่างให้ความเห็นกันอย่างเผ็ดร้อน เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนอของฝ่ายตรงข้าม และเริ่มจะออกไปทางเรื่องส่วนตัว อาจารย์ท่านออกมาปรามทั้งสองฝ่าย โดยท่านบอกว่า "ผมเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดี แต่ก็ขอให้พิจารณาเรื่องท่าทีการนำเสนอด้วย"
"ท่าที่" ในที่นี้สำคัญมากครับ ยิ่งเป็นการทำงานที่มีผู้ร่วมงานจากที่ต่างกัน ต่างวัฒนธรรม ความเชื่อ ยิ่งต้องระวังเรื่องท่าที ผมคิดเสมอว่า หวังดีอย่างไร ถ้าแสดงออกมาไม่ได้อย่างที่หวังก็แทบจะไม่มีค่าเหลือเลย
สิ่งที่นิสิตนักศึกษาจะได้จากการทำกิจกรรมก็มีเรื่องท่าทีนี่ด้วยนะครับ
อาจารย์ เม็กดำ 1
คุณแว้บ ครับ