เด็กหญิงกันธิมา เหล่าพงศ์ไพศาล เกิดในราชอาณาจักรไทย เป็นบุตรของนายหมง เหล่าพงศ์ไพศาล บุคคลสัญชาติไทยและนางสำรวย แซ่เล้าหรือเลหรือเลถิหรือแซ่เหวียน เป็นบุคคลต่างด้าวเนื่องจากถูกถอนสัญชาติไทย
เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2518 มารดาของเด็กหญิงกันธิมาได้ไปแจ้งการเกิดของเด็กหญิงกันธิมาต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุบลราชธานี เพื่อให้เพิ่มชื่อเด็กหญิงกันธิมาลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 632 ถนนพรหมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และให้ออกสูติบัตรแก่เด็กหญิงกันธิมา แต่นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุบลราชธานีไม่ยอมรับแจ้งอ้างว่าเด็กหญิงกันธิมาเป็นคนต่างด้าวประเภทคนญวนอพยพ
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ.2527 บิดาของเด็กหญิงกันธิมา ได้ไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุบลราชธานี เพื่อให้เพิ่มชื่อเด็กหญิงกันธิมาลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 623/1-2 ถนนพรหมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และเพื่อให้ออกสูติบัตรแก่เด็กหญิงกันธิมาอีก แต่ถูกปฏิเสธเช่นเดิม
บิดาของเด็กหญิงกันธิมาในฐานะผุ้แทนโดยชอบธรรม จึงได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาว่าเด็กหญิงกันธิมาเป็นคนสัญชาติไทย และให้นายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลเมืองอุบลราชธานีรับแจ้งการเกิดของเด็กหญิงกันธิมาออกสูติบัตรให้ และให้เพิ่มชื่อเด็กหญิงกันธิมาลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 623/1-2 ถนนพรหมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
คดีทำในสามศาล โดยศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยรับแจ้งการเกิดของโจทก์ออกสูติบัตรให้แก่โจทก์ และเพิ่มชื่อโจทก์ลงในทะเบียนบ้านเลขที่ 623/1-2 ถนนพรหมราช ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 800 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาพิพากษาว่า มารดาโจทก์เกิดโดยบิดามารดาเป็นคนสัญชาติญวนซึ่งเป็นคนต่างด้าวมารดาโจทก์ จึงถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ข้อ 1 โจทก์เป็นบุคคลที่เกิดโดยมารดาที่ถูกถอนสัญชาติไทยถือว่าเป็นคนต่างด้าว โจทก์เกิดภายหลังที่ประกาศของคณะปฏิวัติใช้บังคับแม้จะเกิดในราชอาณาจักร โจทก์ก็ไม่ได้สัญชาติไทย เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะรายไปตามที่กำหนดไว้ใน ข้อ 1 และ 2 ของประกาศดังกล่าว สำหรับกรณีของโจทก์ไม่ปรากฏว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งเป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะรายแต่อย่างใด ขณะที่โจทก์เกิดเมื่อปี พ.ศ.2518 บิดามารดาโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน การที่บิดามารดาโจทก์จดทะเบียนสมรสกันในภายหลังก็มีผลเพียงให้โจทก์กลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ไม่ทำให้โจทก์ได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ดังกล่าว มีผลบังคับเป็นพิเศษยิ่งกว่าพระราชบัญญัติ พ.ศ.2508 ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยสัญชาติทั่วๆ ไป ทั้งนี้ ก็เพราะการได้สัญชาติก่อให้เกิดสิทธิบางประการแก่ผู้ได้รับสัญชาติแต่ขณะเดียวกันก็ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่รัฐต่อผู้ได้รับสัญชาติด้วย จึงเป็นอำนาจของรัฐที่จะให้สัญชาติแก่ผู้ใด ตามเงื่อนไขที่รัฐเห็นว่าเหมาะสมซึ่งก็อยู่กับนโยบาย เหตุการณ์บ้านเมือง และความจำเป็นของประเทศและการที่นายทะเบียนไม่ได้ออกบัตรประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่มารดาโจทก์ ตามพระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พุทธศักราช 2493 มาตรา 5 และ8 นั้นก็ไม่ทำให้มารดาโจทก์กลายเป็นคนมีสัญชาติไทยแต่อย่างใด
ในการพิจารณาตัดสินคดีของเด็กหญิงกันธิมา เหล่าพงศ์ไพศาล จะเห็นว่าศาลไทยได้วินิจฉัยตัดสินคดีโดยยืนอยู่บนความถูกต้อง และเป็นธรรมมิได้นำเอาความเป็นบุคคลที่มีเชื้อชาติต่างประเทศของคู่ความมาจำกัดในการให้ความยุติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าศาลไทยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิของมนุษย์ที่ไม่ควรถูกละเมิด
จากคดีของเด็กหญิงกันธิมา เหล่าพงศ์ไพศาล ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของบุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนซึ่งต่อมาได้ถูกถอนสัญชาติไทยอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งแม้บุคคลดังกล่าวจะมีองค์ประกอบครบตามข้อ 1 แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ซึ่งจะต้องถูกถอนสัญชาติไทยตามกฎหมายแต่เนื่องจากการที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังขาดความชัดเจนทำให้ การใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบกับการที่คนเชื้อชาติเวียดนาม ขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อโต้แย้งในกรณีการถูกถอนสัญชาติไทย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศาลไทยได้ให้ความยุติธรรมจึงทำให้ปัญหาดังกล่าวยุติลงไปได้
ปัจจุบันเด็กหญิงกันธิมา เหล่าพงศ์ไพศาล มีสถานะเป็นคนไทยโดยได้สัญชาติไทย กลับคืนมาอีกครั้ง โดยผลของประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับลงวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2547 เรื่องการสั่งให้บุคคลซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 และบุตรหลานได้สัญชาติไทยไม่มีความเห็น