นายพิพันธ์ แซ่ดิน เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2492 เป็นบุตรของนายกวางจี๋ แซ่ดิน และนางแหน แซ่เหงียนบุคคลสัญชาติญวน โดยนายพิพันธ์ เกิดในระหว่างที่บิดามารดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและเข้าเมืองมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง นายพิพันธ์จึงมีสัญชาติไทยตามกฎหมายสัญชาติที่มีผลบังคับใช้ในขณะเกิด
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2492 บิดาและมารดาของนายพิพันธ์ ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
ในปี พ.ศ.2516 นายพิพันธ์ แซ่ดิน ได้มาประกอบอาชีพอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยโสธร ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพโดยคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ทำการสำรวจคนญวนอพยพในจังหวัดยโสธร และจดชื่อนายพิพันธ์ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ จังหวัดยโสธร พร้อมทั้งยึดบัตรประจำตัวคนไทยของนายพิพันธ์ไป
นายพิพันธ์ได้ติดต่อหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพให้ถอนชื่อนายพิพันธ์ ออกจากทะเบียนบ้านคนญวนอพยพและขอคืนบัตรประจำตัวคนไทย ทางราชการในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรได้มีการสอบสวน แต่ไม่ดำเนินการตามคำขอของนายพิพันธ์อ้างว่านายพิพันธ์เป็นคนญวนอพยพ
นายพิพันธ์จึงได้มาฟ้องศาลขอให้ศาลพิพากษาให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรและหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพถอนหรือจำหน่ายชื่อนายพิพันธ์ออกจากทะเบียนคนญวนอพยพและทะเบียนอื่นใดที่มีชื่อนายพิพันธ์อยู่ร่วมกับคนญวนอพยพ ให้คืนบัตรประจำตัวที่ยึดไป ถ้าไม่สามารถคืนได้ก็ให้ออกบัตรใหม่ให้
คดีทำในสามศาลโดยศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาพิพากษาว่า นายกวางจี๋และนางแหนหลบภัยสงครามจาก ประเทศอินโดจีนของประเทศฝรั่งเศส(ประเทศลาว) เข้ามาในราชอาณาจักรไทยเมื่อวันที่ 12 และ13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2489 ตามลำดับ นายกวางจี๋และนางแหนได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ.2492 เมื่อปรากฏว่าโจทก์เกิดวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2492 อันเป็นเวลาระหว่างที่บิดามารดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวและเข้ามาโดยไม่ชอบตามกฎหมาย ว่าด้วยคนเข้าเมือง แม้โจทก์จะได้รับบัตรประจำตัวประชาชนในภายหลังโดยอ้างว่าได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดน โจทก์ก็ได้ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515 ข้อ 1 (2) และ (3) แล้ว การที่จำเลยที่ 3 จดชื่อโจทก์ลงในทะเบียนคนญวนอพยพและยึดบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ไว้ เป็นการทำตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
ในการพิจารณาตัดสินคดีของนายพิพันธ์ จะเห็นว่าศาลไทยได้วินิจฉัยตัดสินคดีโดยยืนอยู่บนความถูกต้อง และเป็นธรรมมิได้นำเอาความเป็นบุคคลที่มีเชื้อชาติต่างประเทศของคู่ความมาจำกัดในการให้ความยุติธรรมแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าศาลไทยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิของมนุษย์ที่ไม่ควรถูกละเมิด
จากคดีของนายพิพันธ์ได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาของบุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนซึ่งต่อมาได้ถูกถอนสัญชาติไทยอีกปัญหาหนึ่ง ซึ่งแม้บุคคลดังกล่าวจะมีองค์ประกอบครบตามข้อ 1 แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ซึ่งจะต้องถูกถอนสัญชาติไทยตามกฎหมายแต่เนื่องจากการที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องยังขาดความชัดเจน ทำให้การใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ประกอบกับการที่คนเชื้อชาติเวียดนามขาดความรู้ความเข้าใจในกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้จึงเป็นเหตุให้เกิดข้อโต้แย้งในกรณีการถูกถอนสัญชาติไทย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศาลไทยได้ให้ความยุติธรรมจึงทำให้ปัญหาดังกล่าวยุติลงไปได้
ปัจจุบัน นายพิพันธ์ แซ่ดินมีสถานะเป็นคนไทยโดยได้สัญชาติไทยกลับคืนมาอีกครั้ง โดยผลของประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับลงวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2547 เรื่องการสั่งให้บุคคลซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 และบุตรหลานได้สัญชาติไทยไม่มีความเห็น