หนึ่งวันของชีวิต...ที่เหนื่อย...แต่ได้เรียนรู้


วันนี้ต้องมีสติ หนักแน่นและอดทนเพื่อให้สามารถทำงานให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

      วันพฤหัสผมตัดสินใจนอนตั้งแต่22.30 น. เพราะว่าพรุ่งนี้คือวันศุกร์ต้องอยู่เวรทั้งวัน-คืน-จนถึงเที่ยงวันเสาร์     กว่าจะหลับสนิทก็ใช้เวลาประมาณ 1ชม  เพราะว่าจิตใจล่องลอยฟุ้งซ่าน  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องทำอย่างไรจะให้งานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลขับเคลื่อนผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆไปได้ด้วยดี (ในฐานะประธาน FA) และคิดๆๆว่าต้องทำอะไร  อย่างไรบ้างนะ

       เช้าของวันศุกร์ผมตื่นนอนเวลา7.30 น นอนคิดทบทวนว่าวันนี้ ทั้งวันน่าจะพบกับอะไรบ้าง    และจะทำอะไรบ้างกับผู้ป่วยของผมแต่ละคนที่นอนรักษาตัวที่หอผู้ป่วย    ใครจะกลับบ้านบ้าง   ใครที่จะต้องปรับเปลี่ยนการรักษาอะไร  ใครบ้างต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหรือต้องส่งต่อ  และคิดเลยไปถึงว่าวันนี้เป็นวันศุก์ต้องมีผู้ป่วยมารับบริการเป็นปริมาณมากแน่นอน     รวมทั้งวันนี้จะมีแพทย์ที่ต้องตรวจที่ OPD      2 คนเท่านั้น       อีก3ท่านติดภาระกิจ     คือท่านหนึ่งต้องไปตรวจกับแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกที่มาตรวจพิเศษทุก 2 เดือนเพื่อให้บริการกับชาวบ้านโดยไม่ต้องเดินทางไปไกล  โดยเฉพาะกลุ่มโรคนิ้วล็อก  และจะมีผ่าตัดเล็กให้ด้วย  แพทย์อีกท่านต้องตรวจผู้ป่วยคลินิกผู้สูงอายุซึงจะมีเดือนละครั้ง  แพทย์อีกท่านต้องไปออกหน่วยเคลื่อนที่บนดอยประจำเดือน

     หลังจากนั้นก็ตื่นมาทำกิจธุระ   และมาทำงานที่รพ  โดยเข้าดูผู้ป่วยที่ IPD         วันนี้มีผู้ป่วยถุงลมโป่งพองกำเริบ 2 รายอาการดีขึ้นมากปลอดภัยแล้ว     ผู้ป่วยปอดบวมรุนแรงหลังไส่ท่อช่วยหายใจและกลับมาจากรพศูนย์  ไม่ค่อยมีเสมหะอุดตันแล้ว บอกคุณตาให้เตรียมตัวว่าพรุ่งนี้อาจให้กลับบ้าน     ผู้ป่วยที่ผ่าคลอดลูก(C/S)    วันนี้เป็นวันที่3แล้ว กินได้  ไม่มีซีดแผลดี นำนมไหลดี บ้านไม่ไกลจากอนามัยนัก จึงให้กลับบ้านไปทำแผลที่อนามัย  เสร็จแล้วดูผู้ป่วยเบาหวานที่มีแผลที่เท้า  วันนี้แผลยังไม่ดีนัก มีเนื้อตายอยู่บ้าง  ระดับน้ำตาลยังไม่ดีนักต้องปรับยาอีก และต่อมาเป็นผู้ป่วยภูมคุ้มกัน  ซึ่งนอนมาเกือบ1 เดือนแล้วเพราะติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่สมอง ให้ยาจนดีขึ้นและได้เริมยาต้านไปแล้ว 4 วันอาการปกติดี บอกผู้ป่วยว่าจะให้กลับบ้านวันจันทร์นะ   เสร็จแล้วก็ดูผปอื่นๆอีก 4 คน 

       9.10 น มาตรวจ OPD และ  ER (วันนี้เป็นหมอเวรต้องดูERด้วย) เห็นผป.ที่ OPD แล้วก็เป็นไปตามคาด...ฉุกคิดในใจว่าวันนี้ต้องมีสติ  หนักแน่นและอดทนเพื่อให้สามารถทำงานให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้    ช่วงเช้าก็วิ่งไปๆมาๆระหว่าง OPD /ER  ทุกครั้งที่ออกจากห้องตรวจก็เดินออกไปข้างหน้าห้องและขออภัยกับ คนที่รอตรวจคิวต่อไปด้วยความเกรงใจว่า    ...... ครับหมอไปห้องฉุกเฉินเเป๊บนึงนะ  เดี๋ยวมาครับ... พอ 9.30 ก็มีพี่อีกท่านมาช่วย  ช่วงเช้าเราสองคนช่วยกันตรวจ ผป ไปได้ประมาณ 80 คน  ที่เหลือถูกตัดไปบ่าย(ถูกตัดตั้งแต่ที่ห้องบัตรตอน 10.30 โดยการประเมินว่าคงตรวจไม่ทันให้มาบ่าย  ยกเว้นผู้ป่วย อาการหนักหรือไม่สบายมากๆ)  พอเที่ยงตรงผมก็หยุดตรวจและไปทำหัตถการที่ห้อง ฉุกเฉินอีก 15 นาทีก็ไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านพักในรพ...

       12.15-13.00 ก็เป็นเวลาพัก พักกายและพักใจ  แต่เบื้องหลังก็คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะได้เล่น  เรียนรู้และสอนเจ้าตัวน้อยที่คลานเตาะแตะ  เสียงเรียก " ป๊าป่ะ ๆๆ" ซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนได้รับพลังจากบางสิ่งบางอย่างทำให้เราลืมความเหน็ดเหนื่อยในช่วงเช้าอย่างมาก...

     13.00 น เริ่มทำงานและได้รับแจ้งจากพี่พยาบาลว่า มีผ่าตัดทำหมัน2 เคสนะหมอ  อืม....ครับๆ  ยิ้มตอบพี่เขาแบบ เอ๋อเหรอ...ขำๆปนความกังวลในใจว่าผู้ป่วยที่กองอยู่หน้าห้องตรวจจากตอนเช้าคงต้องรอนานหน่อยนะครับ  โชคดีพอสมควรที่ผู้ป่วยห้องฉุกเฉินมีไม่มากและไม่ยุ่งวันนี้เลยตรวจ OPD  ได้อย่างราบรื่น อาจจะตรวจเร็วหน่อย อาจจะไม่ได้ถามละเอียดและพูดคุยเรื่องอื่นๆกับผู้ป่วยแต่ละคนเหมือนทุกวัน  แต่พยามยิ้มและฟังสิ่งที่เขาต้องการบอก หลังจากนั้นก็ตรวจพร้อมสรุปอาการและการรักษาพร้อมทั้งคำแนะแนะสั้นๆพร้อมกับการสัมผัสบ้างบางครั้ง คงพอทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีและเข้าใจหมอที่ต้องตรวจ OPD คนเดียวช่วงนี้ 

    14.30  พี่หมอผ่าตัดเสร็จพอดีมาช่วยกันต่อ  เราช่วยกันตรวจไปเรื่อยๆจนถึง15.30 ก็แอบคิดในใจว่าจะมี ผป. ล้นจนถูกตัดไปเวรบ่ายหรือเปล่านะ   (ซึ่งก็เป็นเรานั่นเองที่ต้องตรวจต่อเพราะว่าอยู่เวร)   ยังโชคดีครับที่พี่ผอ เสร็จจากคลินิกวัยทองมาช่วย(ชีวิต..ฮาๆๆ) เอาไว้ทัน จึงตรวจหมดได้ทุกคนไม่ตัด  ผู้ป่วยก้ได้ยากลับบ้านเร็ว

   16.00  ผมเข้าไปตรวจผู้ป่วยในตอนเย็นอีกครั้ง  และประเมินว่าคืนนี้จะมีอะไรน่าหวาดเสียวบ้าง  16.30  ก็ออกมาตรวจ ER ต่อ

      และ19.30ก็มีเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรกของบ่ายวันนี้ครับ  คือผู้ป่วยสูงอายุเป็นเบาหวานและเคยส่งต่อไป รพ. จังหวัด  อาการทุเลาจึงส่งกลับมา(เป็นผป ของแพทย์อีกท่าน)  มีอาการซึมลง  หอบเหนื่อยและความดันต่ำ และเตรียมจะช่วยเหลือเเละส่งต่อ  แต่ญาติซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียว    แจ้งความประสงค์ว่าไม่อยากใส่ท่อช่วยหายใจอีก  เพราะไม่อยากให้แม่ทรมาน  จึงต้องนั้งคุยกันและให้คำปรึกษาอยู่นาน สุดท้ายก็ตกลงเช่นเดิมว่าไม่ใส่ และ NO  CPR จึงพยามให้การรักษาเต็มที่ด้วยยาและ O2 เข้มข้นสูง (mask c bag 10 LPM) พอ 21.00  อาการก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ญาติจึงขอนำผู้ป่วยกลับไปที่บ้าน จึงให้รถ รพไปส่ง

       หลังจากนั้นก็ตรวจผป. ห้องฉุกเฉินที่มาเรื่อยๆ  ทั้งอุบัติเหตุ ทั้งการเจ็บป่วยอื่นๆ และผู้ป่วยก็หลากหลายนานาชาติเช่นเดิม  ตั้งแต่คนไทย คนไทยพี่น้องชนเผ่า พี่น้องชาวด่างด้าวและ นักท่องเที่ยวทั้งต่างจังหวัดและต่างชาติ........

   23.20  มีเรื่องตื่นเต้นเรื่องที่ 2      คือมีผู้ป่วยหญิงอายุ 20 ปีตั้งครรภ์ครั้งแรก  อายุครรภ์ 34 สัปดาห์ ฝากครรภ์ที่อนามัย  มาด้วยอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด    ตรวจภายในพบว่าปากมดลูกเปิด 2 ซม.แล้ว(ถ้าปากมดลูกเปิดเป็นปัจจัยที่ไม่ดี โอกาสคลอดก่อนกำหนดจริงจะมีสูง)   และที่น่าตื่นเต้นชั้นที่2   ของเรื่องนี้คือเมื่อตรวจครรภ์ก็เอะใจว่าทำไม หน้าท้องถึงได้โตจัง  เมื่อทำ Ultrasound ก็เป็นอย่างที่คาดคือเป็นเด็กฝาแฝด  ท่าเอาหัวลงทั้ง 2คน(Vx,Vx)  ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว  ก็บอกได้เลยว่าเกินขีดความสามารถของ GP แบบผมแน่นอนเลยครับ  จึงได้โทรติดต่อประสานไปยังสูติแพทย์ โรงพยาบาลประจำจังหวัด พี่หมอท่านบอกว่าพี่รับได้แต่ต้องลองโทรเช็คกับกุมารแพทย์ก่อนว่าจะสามารถรับได้หรือไม่    เพราะเด็กคงจะต้องอยู่ห้อง  NICU  แน่นอนเพราะคลอดออกมาคงจะตัวเล็ก  (คาดว่าน่าจะ นน. ประมาณ1800 กับ 1600 gm)  หลังจากที่ประสานไปที่พี่กุมารแพทย์ก็อืม... NICU เต็มครับ  ...หลังจากนั้นจึงประสานไปยัง รพ. รัฐ อีก 2 รพ ในเชียงใหม่ที่อยู่ในระบบการส่งต่อคือนครพิงค์และมหาราช ก็ปรากฏว่าไม่สามารถรับผู้ป่วยคนนี้ได้เพราะเหตุผล  NICU เต็ม  ไม่ว่าง       ไม่สามารถย้ายหรือขยับได้    ซึ่งก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับครับ  (ผป. มีมาก)  

         23.50    จึงต้องโทรปรึกษากับท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเพื่อขอใช้ไม้ตาย(ทางเลือกสุดท้าย)  คือการส่งตัวไปโรงพยาบาลเอกชนครับ  ซึ่งเป็นระบบพิเศษที่มีการตกลงกันไว้และเป็นแนวทางหนึ่ง  เป็นหนทางสุดท้ายที่ไม่จำเป็นก็จะไม่ใช้จริงๆเพราะ  การเลือกส่งต่อไปโรงพยาบาลเอกชนจำเป็นที่จะต้องประสานกับผู้หลักผู้ใหญ่และต้องได้รับความเห็นชอบก่อน  (ส่วนมากก็เห็นชอบทุกราย)  คือต้องแจ้งผู้อำนวยการ  และผู้อำนวยการต้องเรียนและแจ้งต่อไปยังท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด  ซึ่งวันนั้นผมต้องรบกวนและไปปลุกผู้ใหญ่ที่เคารพถึงสองคน (ก่อนหน้านี้ก็สองราย  แต่เป็นกลางวันครับ)  สรุปแล้วได้ไป รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน เชียงใหม่ครับ(ซึ่งรพ. นี้จำได้ว่าเราเคยใช้บริการแบบนี้หลายกรณีแล้วเช่นกัน)    และพอเช้าวันอาทิตย์  วันนี้ก็ได้โทรติดตามผู้ป่วย  พบว่ายังไม่คลอดครับ  จึงได้ประสานไปยัง โรงพยาบาลนครพิงค์เพื่อให้ประสานรับผู้ป่วยกลับมาดูแลรักษาในโรงพยาบาลของรัฐบาลต่อครับ  เหตุผลเพราะว่าการรักษาที่รพของเอกชนนั้นทางโรงพยาบาลและสสจของเรา(ผป ใช้สิทธิ์บัตรทอง)..ต้องเสียค่าใช่จ่ายมากกว่าโรงพยาบาลของรัฐหลายเท่ามาก  ถ้าสามารถกลับเข้ามารักษาในรพ.ของรัฐเร็วเท่าใดก็จะยิ่งสามารถช่วยประหยัดเงิน รพ.และสสจ ครับ  จะได้เอาไว้ใช้กับผู้ป่วยคนอื่นๆที่จำเป็นอีก       (และค่าเวรของแพทย์ที่จะได้ไม่ต้องออกช้าถึง2 เดือนครับ อิอิ..)

           01.00  มีเรื่องตื่นเต้นเรื่องที่3 สำหรับการอยู่เวรคืนนี้ครับ  เป็นผู้ป่วยอายุ 18 ปี ตั้งครรภ์ครั้งแรก  มีปัญหาว่าหัวใจลูกเต้นช้าลงเป็นช่วงๆและถ่ายขี้เทาแบบข้นด้วย (BRADYCARDIA AND THICK  MECONIUM)  จึงต้องเดินไปเยี่ยม  ห้องผู้ป่วยรอคลอด  เมื่อไปเฝ้าดูและประเมินอาการแล้ว และตรวจ NST  ก็ปกติดี หัวใจเต้นปกติตลอด (สังสัยอยากแกล้งแพทย์เวรเล่นนะเจ้าตัวน้อย)  แต่ก็ไม่สบายใจนักเพราะว่ามีปัญหาปากมดลูกไม่ค่อยเปิดมาค้างที่ 4 ซม เกือบ 2 ชมแล้ว ทั้งที่มดลูกแข็ง (Uterine contraction)ดีมาก    จึงรีบนอนเข้านอนที่ห้องพักแพทย์เอาแรงสักหน่อย  แล้วก็เป็นจริง  ตี3.30 พยาบาลรายงานว่าปากมดลูกเปิดเท่าเดิมเลย  และเมื่อดู Pathograp ก็แตะ action line จึงปรึกษากับแพทย์เวรผ่าตัด และประเมินอาการ สรุปแล้วว่าศีรษะทารกคงไม่ลงแน่ จึงเข้าเกณฑ์ที่จะต้องทำการผ่าตัดเพื่อทำคลอดผู้ป่วยรายนี้  จึงตามทีมผ่าตัดทันที(พี่ๆพยาบาลที่กำลังนอนหลับปุ๋ย)     หลังจากนั้นผมก็ต้องเตรียมรอรับทารกที่คลอด  เพราะต้องมีแพทย์ผ่าตัด1 ท่าน(ก็คือท่านผอ. ที่ผมเพิ่งจะปลุกท่านตอนเที่งคืนนั่นเองครับ)  อีกคนคือผมคอยรับเด็ก       เจ้าตัวน้อยออกมา นน 3.6 กิโล(3,600 gm) แข็งแรงดีครับ  Apgar 9-10  ผมจึงโล่งใจครับกว่าจะได้หลับก็ 06.00

          ตื่นเช้ามาอีกวัน...8.30 น (จริงๆไม่อยากตื่นเลยครับ)  ไปอาบน้ำ  กินข้าวเช้าที่คุณพ่อ(ตา)..ฉายาดาบนงค์ )  ซึ่งกลายเป็นกุ๊กประจำครอบครัวและประจำตัวผมมา 2 ปีแล้วครับ  ท่านลาออกจากราชการตำรวจเพื่อมาเป็นกุ๊กโดยเฉพาะครับ  ส่วนคุณแม่(ยาย) ก็ลาออกจากราชการครูเพื่อมาเลี้ยงหลานสาวคนแรก... 

        9.00 น. ของวันเสาร์  ก็มาถึงห้องฉุกเฉินเพื่อออกรบทำศึกกับศัตรู..คือความเจ็บป่วย (ไม่ใช่ผู้ป่วยนะครับ)  จนถึง10.00  ก็เข้าไปตรวจผุ้ป่วย IPD  10.30  จึงออกมาตรวจที่ห้องฉุกเฉินต่อครับ  ตรวจๆๆ  และตรวจ  (รู้สึกว่าจะเบลอๆเล็กน้อย)  และก็ถึงเวลาที่รอคอยครับ  12.00 น. คนไข้หมดพอดี  และภาระกิจของเราก็จบสิ้นแล้วสำหรับงานที่ รพ วันนี้ 

               สรุปแล้วเมื่อตื่นมาอีกวันผมก็คิดถึงเรื่องราวและทบทวนกับงานในวันนั้น  ผมมองย้อนกลับไปด้วยความฉงนกับความรู้สึกของตนเองที่นิ่งสงบกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นขณะนั้นๆ  ด้วยความมีสติที่หนักแน่น  และ  เมื่อผมมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับพี่เอกจตุพร  (เราเคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันที่โรงพยาบาลปางมะผ้าครับ)  ผมก็เล่าให้พี่เอกฟัง  และผมก็ถามกับพี่เอกครับว่า  " พี่เอกผมสามารถเขียนเล่าเรื่องนี้ได้หรือเปล่าครับ"   พี่เอกตอบว่าได้สิ  ...  วันนี้ผมจึงมาเล่าครับ  เรื่องมันอาจจะยาวไปหน่อยแต่ก็เพราะว่าเหตุการณ์ในหนึ่งวันที่ต่อเนื่องกัน

         วันที่ผมเล่านี้เป็นวันอาทิตย์ครับผมต้องอยู่เวรอีกตั้งแต่ตอนเที่ยงวันจนถึงเช้าพรุ่งนี้  ...และเหมือนจะได้ยินข่าวดีมาคร่าวๆว่าพรุ่งนี้อาจจะมีแพทย์ตรวจทั้งรพ. 2 คนเท่านั้น(คนหนึ่งไปรพ ปางมะผ้า เพราะหมอของรพปางมะผ้าไปรับเสด็จหมดทุกคนครับ อีกคนออกหน่วยเคลื่อที่  อีกท่านลากิจครับเพราะว่าไปงานแต่งงานเพื่อออาจกลับไม่ทัน)    

        ครับ..เป็นเพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งของแพทย์ในโรงพยาบาลชุมชน  โดยเฉพาะที่ภาคอีสานบ้านผมเองอาจจะมีผู้ป่วยมากกว่านี้และหมอก็ทำงานหนักมากๆ  จนหลายคนต้องลาออกไป  หรือพยามหนีกลับเข้ามาเรียนต่อเฉพาะทาง (ย้ำ..บางคนนะครับ..)เพราะว่าถ้าไม่อึดจริงก็อยู่ได้ลำบาก    หรือถ้าอยู่ได้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะฝึกฝนตนเองและต้องเลือกว่าจะอยู่แบบไหน  แบบขอไปที  แบบพอดีๆ  แบบดี  หรือแบบทุ่มเทสุดตัว    และนอกจากภาระงานประจำแล้วยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายที่ต้องฝ่าฟันและฝึกฝนเรียนรู้เพื่อให้สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข  เป็นเสมือนด่านอรหันต์ เช่นระบบ  และวัฒนธรรมทั้งภายนอกและภายในองค์กร

                                สวัสดีครับ...Kmsabai

หมายเลขบันทึก: 72672เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2007 02:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 พฤษภาคม 2012 13:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านแล้วเห็นภาพเลยคะ  ต้องนิ่งและมีสมาธิมากเลยนะคะ

พ่อตาแม่ยาย คุณหมอก็น่ารักมากคะ เป็นกองเชียร์ที่ดีจังคะ ท่านคงมีความสุขมาก 

 รู้สึกจริง เข้าใจ และเห็นจริงกับสิ่งที่คุณหมอประสบ 

 โรงพยาบาลเต็ม เตียงไม่ว่าง  เป็นความโหดร้ายของระบบส่งต่อ

โชคดี ที่ผู้บริหารช่วย มีทางออกด้วยการส่งไป รพ เอกชน

ว่าการรักษาไม่ได้โดนจำกัดด้วยความยากจน

ว่า ปัญหายิ่งใหญ่ที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ มาจาก เงิน

  เวลา และงานของคุณหมอมีคุณค่ามากเลย

มาเชียร์ ให้พัก ให้ภูมิใจ และขอให้มีความสุขด้วยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท