คนดี ๆ ก็ควรต้องได้รับการชื่นชมจากสังคม และอย่างน้อย วันนี้ มหาวิทยาลัยก็ได้ชื่นชมเขาแล้วเช่นกัน
อันที่จริงก็ตั้งใจแรงกล้าว่าจะเขียนบันทึกถึงเรื่องการพิจารณานิสิตเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยเพื่อส่งเข้าสู่การคัดเลือกเป็น นิสิตนักศึกษาพระราชทาน ในกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ด้วยภาระกิจอันหลากล้นในแต่ละวัน เลยทำให้เรื่องสำคัญเรื่องนี้ ต้องถูกพับเก็บไว้ในลิ้นชักความทรงจำ จวบจนล่วงมาถึงวันนี้ จึงมีอันต้องหักดิบเลี้ยวกลับมาเขียนบันทึกนี้ให้แล้วเสร็จซะที มิเช่นนั้นเห็นทีจะไม่ได้เขียนเลยก็เป็นได้....
รางวัลนักศึกษาพราะราชทาน... เกิดขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระราชปรารภแด่ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ม.ล.ปิ่น มาลากุล) เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๖ ดังใจความว่า
"มีนักเรียนจำนวนมาก ซึ่งมีความประพฤติดีและมีความมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนได้ผลดี รวมทั้งมีโรงเรียนซึ่งจัดการศึกษาดี จนนักเรียนได้รับการเรียนดีเป็นส่วนรวม นักเรียนและโรงเรียนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมควรจะได้รับรางวัลพระราชทาน และทรงยินดีจะพระราชทานรางวัลให้"
พระราชปรารภดังกล่าว เป็นยิ่งกว่าวิสัยทัศน์อันกว้างไกลในการกระตุ้นให้มีการพัฒนาการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ให้ความสำคัญต่อบุคคลและองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษาแก่แผ่นดิน
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ทำการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ๑ ชุดเพื่อทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกนิสิตเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๕๐ โดยผมทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งคณะกรรมการได้คำนึงถึงกระบวนการคัดเลือกที่ต้องดำเนินการอย่างมีหลักเกณฑ์ เที่ยงตรง บริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะรางวัลดังกล่าว คือ รางวัลอันทรงเกียรติและทรงคุณค่าทั้งตัวผู้ได้รับ, ต่อสถาบัน และต่อสังคม...
เป็นการพิจารณาคัดเลือกที่ใช้เวลายาวนานและเนิ่นนานกว่าครั้งไหน ๆ ( ๔ ชั่วโมง) ทั้ง ๆ ที่มีนิสิตสมัครเข้ารับการพิจารณาคัดเลือกเพียง ๖ เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้มีนิสิตให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อศึกษาเรื่องคุณสมบัติเป็นที่ชัดแจ้งแล้ว หลายคนมีอันต้องปลงใจสละสิทธิ์ เพราะคุณสมบัติมิใช่เน้นย้ำแต่เฉพาะ "เรียนดี" เท่านั้น หากแต่ยังมีความเป็น "คนดี" ที่ต้องทำกิจกรรมเพื่อสังคมและมีคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนด้วยเช่นกัน
....
คุณสมบัติเช่นนั้น คือภาพลักษณ์ของการเป็น "คนเก่ง" (MAN POWER) และ "คนดี" (MAN HOOD) หรือการเป็นคนที่มี "ความรู้คู่คุณธรรม" ขณะที่กองกิจการนิสิต ก็ชูปรัชญาการพัฒนานิสิตและผู้นำนิสิตในภาพลักษณ์ของการเป็นคนที่มี "คุณภาพ คุณค่า และคุณธรรม" เป็นที่ตั้ง
แต่สำหรับผม, ในกระแสโลกาภิวัตน์ในโลกยุคไร้พรมแดนเช่นนี้ บางคนก็อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกหรือสังคมสองภาษา (Bilingual Society) และบางทีนอกเหนือจากคุณลักษณะข้างต้นแล้ว ผมก็ยังต้องเน้นย้ำว่า คุณลักษณะเช่นนั้นก็จำเป็นต้องมีความเป็นสากลด้วย !
ความเป็นสากลที่ผมกล่าวถึงนั้น เป็นความสามารถที่ใช้ได้กับยุคสมัยและทุกสังคม ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่าเป็น "ความสามารถสากล" (Global Competence) ที่นิสิตจะต้องรู้ชัดเจนในศาสตร์สาขาที่เรียน รอบรู้วิทยาศาสตร์ - เทคโนโลยี และมีทักษะภาษาที่สอง (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) รวมถึงการมีลักษณะการใฝ่เรียนรู้ตลอดชีวิต และที่ขาดไม่ได้ก็คือมีความเป็น "คนไทย" อยู่ในหัวใจอย่างเต็มล้น
เสียงข้างมากของคณะกรรมการมีมติเห็นชอบให้ นายอนุสรณ์ ตาดทอง นิสิตชั้นปีที่ ๓ สาขาบริหารรัฐกิจแลกิจการสาธารณะ จากวิทยาลัยการเมืองการปกครอง เป็นผู้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกเป็นตัวแทนเข้าสู่การพิจารณาคัดเลือกในระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๐ ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อนุสรณ์ ตาดทอง เคยได้รับการเชิดชูเกียรติการเป็นนักเรียนดีเด่นในระดับมัธยมศึกษา ทั้งในฐานะมารยาทดี เรียนเก่ง อนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ร้องหมอลำและเป็นหมอสูตรรุ่นเยาว์ที่ชนะเลิศการประกวดในระดับจังหวัด
ในสถานะการเป็นนิสิตถือว่าเป็นผู้มีผลการเรียนดี (๓.๔๕) เคยดำรงตำแหน่งนายกสโมสรนิสิตวิทยาลัยการเมืองการปกครอง , เคยรักษาการในตำแหน่งนายกองค์การนิสิต ปัจจุบันเป็นประนชมรมยุวชนประชาธิปไตย และอื่น ๆ อีกจำนวนมาก แต่ที่สำคัญก็คือ การมี "ตัวตน" ที่ชัดเจนในการเป็น "ผู้นำนิสิต" ในภาพลักษณ์ของการเป็นคนเรียนเก่งและทำกิจกรรมเพื่อสังคม
.........
ถัดจากวันนั้นอีกหนึ่งวัน, ผมเรียกเขามาพบ พูดคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำความเข้าใจประเด็นต่าง ๆ ที่คณะกรรมการได้ฝากถึงเขา ทั้งในข้อดีและสิ่งที่ต้องปรับแต่งให้สมบูรณ์
ผมบอกกับเขาแต่เพียงว่า...ผลการพิจารณาในระดับภูมิภาคจะเป็นเช่นไรก็มิให้วิตกกังวล แต่ขอให้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ เพราะการได้เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัย เข้าสู่เวทีแห่งการพิจารณาคัดเลือกเป็นนิสิตนักศึกษาพระราชทานนั้นก็ถือว่ามีเกียรติอย่างยิ่งแล้ว...
ที่สำคัญก็คือ....ถ้าไม่นับการเรียนแล้ว ผลพวงของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องและยาวนานของเขา ทั้งจากระดับมัธยมสืบมาจนสู่อุดมศึกษา ได้สะท้อนด้านคุณค่า ๓ ประการที่ชัดเจนแล้ว คือ คุณค่าที่มีต่อตัวเขาเอง คุณค่าที่มีต่อสถาบัน และคุณค่าที่มีต่อสังคม..
คนดี ๆ ก็ควรต้องได้รับการชื่นชมจากสังคม และอย่างน้อย วันนี้ มหาวิทยาลัยก็ได้ชื่นชมเขาแล้วเช่นกัน !