การเข้ารับโอวาทดังกล่าว ถือเป็นวัฒนธรรมอันดีที่เราชาวนักกีฬา มมส ยึดถือปฏิบัติกันมายาวนาน เป็นการ "เอาฤกษ์ - เอาชัย" ทั้งในแง่การเดินทาง การแข่งขัน และอื่น ๆ หากแต่ปีนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เนื่องจากท่านอธิการบดีมีราชการสำคัญ จึงมอบหมาย ผศ.ดร.ศุภชัย สมัปปิโต รองอธิการบดีฝ่ายนโยบาย แผนและวิจัย เป็นผู้แทนทำหน้าที่อันสำคัญดังกล่าว...
นอกเหนือจากคำอวยพรและแรงใจจากประธานที่สื่อสารและมอบกำนัลแก่คณะนักกีฬา ผศ.ดร.ศุภชัย สมัปปิโต ยังย้ำให้นักกีฬา "ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ และมิให้หมกมุ่นกับผลแพ้ชนะ จนลืมกฎกติกา มารยาท" และหากประสบความสำเร็จได้เหรียญรางวัลกลับมา มหาวิทยาลัยก็จะมีทุนการศึกษาให้นักกีฬานั้น ๆ เป็นต้นว่า เหรียญทอง ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเรียกเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วอาคาร....
ผมมีโอกาสได้พบปะและชี้แจงต่อคณะนักกีฬาในฐานะผู้ดูแลภาพรวมทั้งหมด โดยยังคงเน้นย้ำสาระสำคัญ ๒ ประการหลักคือ
๑. การตระหนักถึงเกียรติภูมิของสถาบัน ซึ่งนักกีฬาต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับความเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัย เพราะความเป็นมหาวิทยาลัยจะติดตัวท่านไปในทุกย่างก้าว
๒. การตระหนักถึงหน้าที่ของนักกีฬาที่ต้องอุทิศตนต่อการแข่งขัน และยึดหลัก "มิตรภาพเหนือชัยชนะ" อันเป็นคำขวัญที่ผมนำมาใช้เมื่อครั้ง มมส เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบคัดเลือก โซนภาคอีสาน เมื่อปี ๒๕๔๖ "เรียนรู้ที่จะแข่งขัน แต่ต้องไม่ตกเป็นทาสของผลการแข่งขัน"
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงแม้ ม.มหาสารคาม จะไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ยึดกีฬาเป็นเลิศ แต่ก็เปิดโอกาสให้นักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่ ขอเพียงแค่ มีคน, มีความพร้อม, และมีใจรักที่จะเป็นตัวแทนสถาบัน, ก็มากเกินพอ
จึงไม่แปลกเลยที่ในแต่ละปีจะมีนักกีฬาจาก มมส เข้าร่วมการแข่งขันจำนวนมาก !
และเมื่อนำเหรียญรางวัลมาชี้วัด ก็ดูประหนึ่งว่า "ไม่ประสบความสำเร็จ" แต่สำหรับเรา มันคือ โอกาสอันดีในการนำนิสิตออกสู่โลกแห่งการเรียนรู้ มีแรงจูงใจที่จะกลับมารวมพลังสร้างสรรค์บรรยากาศการเล่นกีฬาในมหาวิทยาลัยให้คึกคักและมีชีวิตชีวามากขึ้นในทุก ๆ ปี
และทุกปีเราก็ไม่เคยกลับมือเปล่าโดยไร้เหรียญรางวัล, ในแต่ละปีบางชนิดกีฬาเราก็มีนักกีฬาติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ดังก่อนหน้านี้ก็คือ ซอฟท์บอล และปัจจุบันก็คือ รักบี้ฟุตบอล
...
วันนั้นเราต่างมาในชุดการแข่งขัน "สีเทา" อันเป็นสีของมหาวิทยาลัย...
ปีนี้แตกต่างจากทุกปี เพราะผมได้นำเสนอกระบวนการ "คัดเลือก" ผู้แทนนักกีฬาทำหน้าที่ "รับธงมหาวิทยาลัย" จากมหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนนี้มักไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการดังกล่าวนัก โดยผู้ที่ได้รับเกียรตินั้นก็คือ นายพัชรพงศ์ สมัครสมาน ชั้นปีที่ ๓ สาขาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศสตร์ฯ ผู้ติดธงชาติไทยในกีฬารักบี้ฟุตบอลไปแข่งเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ
นอกจากนี้ยังนำวีดีทัศน์ประมวลภาพกิจกรรมกีฬาและวิถีชีวิตการเก็บตัวฝึกซ้อมของนักกีฬามาฉายสร้างสรรค์บรรยากาศและปลุกเร้าก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น...รวมถึงการร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกันในแบบสบาย ๆ เรียบง่าย และเป็นกันเอง
.....
ผมให้สัญญากับตัวเองเงียบ ๆ ว่าหลังการแข่งขันเสร็จสิ้นลง...เราจะมีเหรียญรางวัลติดมือกับสู่สถาบันอันทรงเกียรติหรือไม่ แต่เราก็น่าจะมีเวทีเช่นนี้กันอีกสักครั้ง...
... มาร่วมกินข้าว ฟังเพลง ชมประมวลภาพชีวิตของพวกเรา ณ ที่นั่นอีกสักหน พร้อมชวนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เดินทางไปกับเรา...มานั่งรับรู้ รับฟัง และแบ่งปันเรื่องราวร่วมกับพวกเรา ..
เผื่อว่าบางทีบรรยากาศการเล่นกีฬาในสถาบันจะคึกคักมากขึ้นและกลายมาเป็นกระบวนการที่เข้มแข็งในการพัฒนาชีวิตนิสิตผ่าน "กิจกรรมกีฬา" อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ในการร่วมแข่งขันกีฬา เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ เพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ไปร่วมแข่งขัน หลายคนกลับได้เพื่อนแท้ ซึ่งต่างกับเพื่อนที่เจอกันมาเป็นปี ยังไม่สนิทกันเท่ากับเพื่อนที่เล่นกีฬาด้วยกันเลย
น่าจะมีนิสิตที่ไปแข่งขัน มาเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ที่ได้ไปสัมผัสมาบ้างนะครับ
เพราะหลายคนในสังคม ไม่ค่อยมีน้ำใจนักกีฬา
ขอบคุณ ครับอาจารย์ เม็กดำ 1
ขอบคุณ มากครับ คุณขจิต ฯ
คุณ ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีครับ คุณออต
การแข่งขันทำให้คนเรารู้จักแพ้ชนะ
เมื่อจบการแข่งขันก็คือจบเกมแต่ไม่ได้หมายถึงการจบมิตรภาพนะค่ะ
(พอดีอยากขอความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำวิทยานิพธ์เรื่องความคาดหวังของนักกีฬาที่มีต่อการแข่งขัน แต่ในแนวของจิตวิทยาค่ะใครพอมีความรู้ช่วยบอกหน่อยนะค่ะส่งทางเมล์ได้ค่ะ)