หลังจากที่เราฟังครูอิ่มกล่าวถึงบรรยากาศของห้องเรียน ICT ของโรงเรียนอนุราชประสิทธิไปแล้วในภาคเช้าไปแล้ว
กิจกรรมในช่วงบ่ายนี้ ครูอิ่มให้นักเรียนแสดงผลงานที่ทำขึ้นจากโปรแกรมสองโปรแกรม คือ
Microworlds Pro และ Kahootz
โปรแกรม Microworlds มาจาก MIT เป็นโปรแกรมหนึ่งที่เครือปูนฯ ไทย ได้นำมาใช้ในการทำงาน เช่น การจำลองการลำเลียงวัตถุ และเพราะเป็นโปรแกรมที่มีความยืดหยุ่นมาก โปรแกรมเดียวกันนี้ในโรงเรียนอนุราชประสิทธิให้เด็กใช้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงระดับมัธยม
โปรแกรม Kahootz เป็นโปรแกรมที่รัฐบาลออสเตรเลียร่วมกับเอกชนพัฒนาให้นักเรียนออสเตรเลียใช้ ซึ่งเอกชนนี้ได้กลายเป็นมูลนิธิแล้ว ครูอิ่มติดต่อขอซ้ือมา เป็นเครื่องมือช่วยให้นักเรียนเรียนเรื่องมิติสัมพันธ์มาก ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และให้ใช้โปรแกรมนี้มาสนับสนุนการเรียนรู้
โปรแกรม Microworlds เป็นโปรแกรมที่เรียนรู้ได้ง่ายสำหรับเด็กเล็ก ในขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อน ตอบสนองจินตนาการของนักเรียนมัธยมได้ดีกว่า
น่าแปลก…อย่างนี้ก็มีด้วย ที่โปรแกรมหนึ่งจะมีความยืดหยุ่นมากขนาดที่ถูกใจเด็กในวัยต่างกันมากขนาดนี้ได้
ในขณะที่ Kahootz ที่มีลักษณะเป็น ๓ มิติตอบสนองเด็กในช่วงชั้นที่ ๒ ได้ดีกว่า
เมื่อนักเรียนของครูอิ่มนำเสนอผลงานนั้น นักเรียนได้อธิบายให้เห็นตัวอย่างการแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน ซึ่งที่มาของปัญหานั้น ไม่ใช่มาจากใครที่ไหนแต่เป็นตัวนักเรียนเอง ที่ “มันเขี้ยว” ตั้งขึ้นมาท้าทายตัวเอง นั่นย่อมหมายความว่า เขา “สนุก” กับการสร้างงานมากเกินกว่าการทำงานตามสั่ง และยืนยันได้ว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อผู้ใหญ่ในห้องสัมมนาได้ตั้งคำถามว่า ระหว่างการเล่นเกม กับ การสร้างเกมเองนี้ แตกต่างกันอย่างไร คำตอบที่ผ่านการเรียบเรียงคำพูดสักครู่ก็คือ
“ สิ่งที่ผมสร้าง ผมเป็นคนควบคุมได้ บังคับได้ แต่ถ้าเป็นการเล่นเกม เราต้องทำตามกฎที่เกมตั้งให้เรา การสร้างเอง ถึงจะไม่ตื่นเต้น แต่สนุกกว่า”
ผู้ใหญ่ในห้องได้ตั้งคำถามให้เด็กๆ ตอบอีกด้วย
คำถาม : ก่อนรู้จักโปรแกรมเหล่านี้ และหลังจากการใช้โปรแกรมแล้ว มีความแตกต่างกันอย่างไร คุยกับเพื่อนน้อยลงไหม
คำตอบ : ได้ใช้จินตนาการ และได้ทำ ถ้าไม่มีโปรแกรมก็อาจมีจินตนาการได้แต่ไม่ได้ลองทำ ไม่ได้อยู่กับเพื่อนน้อยลงถ้าเราอธิบายให้เพื่อนฟัง อยู่บ้านก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนเดิม และได้ช่วยงานที่คุณพ่อยังไม่รู้ (คุณช่วยคุณพ่อทำ Presentation)
คำถาม : เคยไหมว่าไม่อยากเห็นมันอยู่เพียงในจอ แต่อยากทำจริงๆ นอกจอ เช่น มีห้องที่มีอุปกรณ์จริงๆ ให้ลองทำ จะใช้เวลาทำในจอหรือจะลองสร้างของจริงในห้องนั้นมากกว่ากัน
คำตอบ : ห้องนั้นครับ
ที่เราได้เห็นกับตา ฟังกับหู จากการบอกเล่าของลูกศิษย์ทั้งสามคนของคุณครูอิ่มในวันนี้ ทำให้เราเห็นรูปธรรม ในแววตาและน้ำเสียงว่า ความสุขที่นักเรียนได้จากการใช้ความสามารถฟันฝ่าโจทย์ต่างๆ ได้ นั้นสนุก และอร่อยน่าหม่ำอยู่อย่างไม่รู้เบื่อ ภาษาผู้ใหญ่เรียกว่า “ภาคภูมิใจ” (น่าคิดว่าผู้ใหญ่ในห้องสัมมนานี้ต่างก็ใช้คำนี้สรุปคำบอกเล่าของนักเรียน ในขณะที่นักเรียนไม่ได้เอ่ยขึ้นเองแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากเป็นการกล่าวตามเท่านั้น)
กระบวนการเรียนรู้ที่นักเรียนสร้างขึ้นมาเองจาก ความอยากทำสิ่งยากที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดระดับความยากเอง แล้วนำมาสู่ การคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยง “สิ่งที่ทำได้เล็กๆ ” มาทำซ้ำ มาต่อยอดกับสิ่งที่คิดขึ้นมาใหม่ เมื่อผ่านการการลองผิดลองถูก ก็เกิดเป็น “สิ่งที่ทำได้ขนาดใหญ่ขึ้น” กลายเป็นวงจรการเรียนรู้ที่ไม่รู้จบ ลองจินตนาการดูว่า “สิ่งที่ทำได้เล็กๆ” จะขยายใหญ่ขนาดไหน ถ้าเด็กนำวงจรที่ไม่รู้จบนี้ติดตัวไปตลอดชีวิตของเขา
สิ่งที่ครูอิ่มทำอยู่ในการจัดการเรียนการสอนก็คือ จัดพื้นที่และโอกาสให้นักเรียนเมื่อสร้างความรู้เองได้แล้วต้องนำเสนอออกมาได้ด้วย ครูปาด รองผอ.จากโรงเรียนเพลินพัฒนาเสริมว่า ความสำเร็จไม่ใช่อยู่แค่ในจอ แต่เป็นแบบจำลองให้เราใช้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
<p class="MsoNormal">เนื่องจากเรามีเวลาจำกัด และเพลิดเพลินไปกับการนำเสนอของเด็กๆ เวลาจึงหมดเสียก่อนที่โรงเรียนเพลินพัฒนาจะได้นำเสนอ ตัวอย่างกิจกรรม Active Learning ที่ตั้งใจเตรียมมาทำ Workshop ในวันนี้ ครูใหม่จึงขอขอบคุณที่ทุกคนได้เข้าร่วมจนหยดสุดท้ายสัญญาว่าจะนำเสนอในโอกาสต่อไป</p><p class="MsoNormal"> </p><p class="MsoNormal">ถอดเทปช่วงเช้า ตอนที่ 1 2 3 4 5 สรุปช่วงบ่าย </p>
ไม่มีความเห็น