บทนำ : แทบไม่น่าเชื่อว่าห้วงเวลา 1 ทศวรรษของ มมส มีกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่จัดโดยนิสิตและฝ่ายพัฒนานิสิตจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ในปีการศึกษา ๒๕๔๕ นั้นกิจกรรมมีจำนวนมากถึง ๓๒๑ โครงการ เสมือนว่าในวันหนึ่งๆ อย่างน้อยก็มี ๑ กิจกรรมให้บรรดาคอกิจกรรมทั้งหลายได้ร่วมเสพและร่วมสร้างสีสันชีวิต –
ข้อมูลที่ว่านี้ถึงขั้นทำให้คณะกรรมการประกันคุณภาพการศึกษาจากภายนอกอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ว่า นิสิตที่นี่เรียน หรือทำกิจกรรมกันแน่หนอ และเหตุใดทำไมจึงสร้างสรรค์กิจกรรมขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาลปานนั้น !!! ผมเองก็ไม่หาญกล้าที่จะหยั่งลึกสู่คำตอบและไขความข้องใจต่อคณะกรรมการฯ นั้นได้ แต่ก็อิ่มใจลึกๆ ว่านิสิตที่นี่มีแรงพลังมากมายในการรังสรรค์ความคิดออกมาในรูปกิจกรรม ถึงแม้บางกิจกรรมจะมีคนเข้าร่วมไม่มากมายก็เถอะ แต่เชิงคุณภาพก็มิอาจใช้ตัวเลขเชิงปริมาณมาหยั่งวัดได้ !
สถิติจำนวนกิจกรรมที่เกิดขึ้นหลากหลายนี้ได้กลายมาเป็น “ปรากฏการณ์กิจกรรมนิสิต” ที่น่าสนใจที่สะท้อนภาพให้เห็นวิวัฒนาการการเติบโตทางสายธารการพัฒนานิสิต ซึ่งไม่นับรวมการเติบโตของเม็ดเงินที่ผลักลงสู่องค์กรนิสิตต่าง ๆ
ปรากฏการณ์สำคัญที่ว่านี้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนจากจำนวนชมรมที่มากขึ้น หลากหลายขึ้น ทั้งชมรมสังกัดองค์การนิสิตและชมรมสังกัดสโมสรนิสิต รวมทั้งการเติบโตของสโมสรนิสิตคณะที่ผงาดขึ้นมาจัดกิจกรรมเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์การนิสิต ความหลากหลายของกิจกรรมนิสิต จึงสื่อสะท้อนให้เห็นภาพแห่งความคิดที่หลากหลายมุมมอง และหลากหลายเรื่องราวที่นิสิตสื่อสารออกสู่สาธารณชน บางครั้งบางขณะเสมือนว่า ๑ องค์กร หรือ ๑ กิจกรรมที่จัดขึ้น คือความคิดอันเป็น ๑ เรื่องราวที่ถูกนำเสนอ ยิ่งกว่านั้นในกิจกรรมหนึ่ง ๆ อาจหมายถึงความคิดหรือเรื่องราวที่มากกว่า ๑ เรื่องก็ว่าได้ ความหลากหลายของกิจกรรมได้ฉายให้เห็นสายธารการเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่หลากหลายของนิสิต จากที่เคยวกวนอยู่แต่เฉพาะมุมมองขององค์การนิสิตที่มักไม่หนีไปจากขนบวัฒนธรรมกิจกรรมเดิม ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าชมรมและสโมสรนิสิตได้แจ้งเกิดบนวิถีกิจกรรมอย่างสง่าผ่าเผย วิถีความคิด ในมุมมองที่เกิดจากชมรมและสโมสรนิสิตได้กลายมาเป็นสีสันชีวิตที่หลากหลาย หลากรสชาติและหลากวัฒนธรรม ความหลากหลายดังกล่าวจึงกลายเป็นความหลากหลายในทางเลือกที่บรรดาผู้เสพทั้งหลาย สามารถเลือกเสพกิจกรรมได้อย่างหนำใจ รื่นรมย์กับบรรยากาศต่างๆ อย่างต่อเนื่องและไม่ซ้ำซาก ประหนึ่งว่ามหาวิทยาลัยเป็นเสมือนสวนบุปผชาติที่หลากด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ กรุ่นหอมด้วยดอกไม้นานาชนิด
ทศวรรษสายธารด้านการพัฒนานิสิต ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าสโมสรนิสิต (รวมความถึงสาขาวิชา) คือกลไกสำคัญที่ช่วยเติมแต่งให้กิจกรรมมีความหลากหลายทางความคิด หลากหลายทางบรรยากาศ เพราะเป็นการบูรณาร่วมระหว่างวิถีกิจกรรมกับวิถีความรู้ที่ศึกษาในสาขานั้น ๆ รวมถึง “ความเข้มแข็ง” และ “จัดเจน” ของผู้จัดกิจกรรมที่สามารถนำความรู้มาบูรณาในภาพของกิจกรรมนิสิต ไม่ว่าจะเป็นการก่อเกิดของชมรมดนตรีสากล ดนตรีไทยและชมรมศิลปะการแสดง ที่ขับเคลื่อนจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ ชมรมสื่อสร้างสรรค์จากคณะวิทยาการสารสนเทศ ชมรมวรรณศิลป์ ชมรมประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ชมรมรักษ์อีสาน จากคณะมนุษย์ฯ ชมรมส่งเสริมสุขภาพ จากคณะพยาบาลศาสตร์ ชมรมอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม จากคณะเทคโนโลยี ชมรมสถาปัตย์สัญจร จากคณะสถาปัตย์ ชมรมครูอาสา ชมรมไทสร้างสรรค์ จากคณะศึกษาศาสตร์ ชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือชมรมประชาพิจารณ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ทั้งหมดที่กล่าวถึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งและส่วนน้อยที่หยิบยกมาในที่นี้ แต่ทั้งหมดคือปรากฏการณ์ที่สื่อให้เห็นว่ากิจกรรมต่าง ๆ ก่อเกิดและถูกผลักดันออกจากเบ้าหลอมของทางคณะ ! ถึงแม้ว่าบางองค์กรจะเติบโตและโลดแล่นกรีดกรายอยู่ภายใต้สังกัดองค์การนิสิต หรือไม่ก็อยู่ภายใต้สังกัดสโมสรคณะ โดยที่แต่ละองค์กรมีความแตกต่างกันไปทั้งทางกายภาพและชีวภาพ เรื่องราวที่ปรากฏการณ์หรือฉายเด่นอยู่ในกิจกรรมแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องราวที่แตกต่างกันไปตามบริบทความคิดและมุมมองของแต่ละองค์กร สะท้อนตัวตนของตนเองอันหมายถึง “รากเหง้า” ที่มาที่ไปขององค์กรนั้น ๆ อย่างชัดเจน แต่ที่แน่ๆ เมื่อพิเคราะห์พินิจอย่างละเอียดแล้วจะเห็นได้ว่าความหลากหลายของกิจกรรมสะท้อนความสัมพันธ์ของความคิด มุมมองและการก่อเกิดของแต่ละองค์กรอย่างแจ่มชัดถึงแม้ว่าบางกิจกรรม หรือบางองค์กรจะเกิดขึ้นบนพื้นฐานเงื่อนไขของสาขาที่เรียนก็ตาม แต่มันก็คือการเติมเติมบรรยากาศที่ขาดหายไปจากขนบวัฒนธรรมเดิมๆ บนสายธารกิจกรรมนิสิต (ซึ่งผมขอว่างเว้นรายละเอียดตรงนี้ไว้ -) ที่สำคัญ ผมยังเชื่อว่าเรื่องราวที่องค์กรได้หยิบยกมานำเสนอในรูปของกิจกรรมต่าง ๆ นั้นล้วนมีมิติทางสังคมอยู่อย่างเนืองแน่น อันเป็นมุมมองแนวคิดของนิสิตในวัยหนุ่มสาวที่มีต่อชีวิตและสังคมนั้นเอง หนังสือทำมือและการละคร : ปรากฎการณ์กิจกรรมพลังทางความคิดห้วงเวลาสิบปี หรือทศวรรษการด้านพัฒนานิสิต ผมมีความประทับใจกิจกรรมหลายกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมที่เพิ่งเติบโตในช่วงของการเป็นผลผลิตในสถานภาพของการเป็น มมส อันได้แก่ กิจกรรมเกี่ยวกับการทำหนังสือ (หนังสือทำมือ หรือ หนังสือมือทำ) และกิจกรรมเกี่ยวกับการละคร (แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าอื่นๆ ที่ไม่เอ่ยถึงจะไม่มีคุณค่าสาระประโยชน์) แต่กิจกรรมทั้งสองอย่างนี้ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันคือ “ปรากฏการณ์ทางความคิด” ที่แฝงด้วยพลังทางปัญญาอย่างพอตัว ก่อเกิด เติบโตและดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง นับจาก “ชมรมคนสร้างภาพ” ที่นิสิตคอวรรณกรรมทั้งหลายรวมตัวกันจัดตั้งเป็นชมรมขึ้นมาในช่วงประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๓ จนถึงบัดนี้หลายต่อหลายคนกำลังแจ้งเกิดและแจ้งเกิดไปแล้วในถนนสายวรรณกรรม ชมรมคนสร้างภาพ ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการเขียนการอ่านให้คึกคักในขณะที่ชมรมวรรณศิลป์กำลังอ่อนล้า นิสิตหลายคนสามารถเขียนเรื่องสั้น บทกวีและบทความได้อย่างน่าทึ่ง ถึงขั้นจัดทำเป็น “หนังสือทำมือ” วางจำหน่ายใน มมส และต่างจังหวัด จนได้รับการขนานนามว่า “เขียนหนังสือขาย” ! ศักยภาพของชมรมคนสร้างภาพถูกยอมรับจากคนในแวดวงวรรณกรรมในระดับที่น่าภาคภูมิใจ มมส กลายมาเป็นจุดรวมพลของคอวรรณกรรมจากทั่วสารทิศ ถึงขั้นมีการสัญจรจัดโครงการมหกรรมหนังสือทำมือขึ้นที่ มมส เลยทีเดียว รวมทั้งการมีนักเขียนเทียวสัญจรเข้าออกมหาวิทยาลัยอย่างว่าเล่น นิสิตกลุ่มนี้มีรายได้จากการเขียนหนังสือขาย ซ้ำยังแสดงพลังทางความคิดในการนำวรรณกรรมของตนเองเป็นกระบอกเสียงในการทัดทานผู้บริหารมหาวิทยาลัยอย่างสง่าผ่าเผย และตรงนี้นี่เอง ยิ่งทำให้ผมในฐานะผู้สังเกตการณ์ทางกิจกรรมยอมรับและคาราวะหัวจิตหัวใจของผู้กล้าเหล่านี้ในการปกป้องสิทธิประโยชน์ของการเป็นนิสิต เพราะนี่คือ “จิตสำนึกสาธารณะ” ที่ผมพยายามรณรงค์ให้วาทกรรมนี้ติดหูของผู้นำนิสิตมาอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะมี “นักรบ” ที่ “พร้อมรบ” เพื่อส่วนรวม (แต่เป็นที่น่าเสียว่าชมรมนี้ได้สลายตัวความเป็นองค์กรไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวและตำนานปรากฏการณ์ความคิดในวิถีกิจกรรม) ถัดมา คือกิจกรรมการละคร ซึ่งในอดีตมีพบเห็นไม่มากนัก ในช่วงยุคที่เป็น มศว มหาสารคาม กิจกรรมการละครจะมีให้ได้ชื่นชมอยู่หลัก ๆ ๒ ส่วนคือภาควิชาภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อันเป็นผลงานเสริมประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนที่นิสิตจะต้องรังสรรค์ขึ้นในช่วงภาคปลายของปีการศึกษา แต่การเกิดขึ้นของ “ชมรมศิลปะการแสดง” (๒๕๔๐) ได้กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญด้านกิจกรรมของนิสิตในรูปลักษณ์ของชมรม รวมทั้งชมรมสื่อสร้างสรรค์ (๒๕๔๕) ที่คุ้นชินกันในชื่อกลุ่มมดตะนอยก็เริ่มผลิตผลงานในลักษณะนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อตัวของ “ชมรมสถาปัตย์สัญจร” (๒๕๔๐) ก็เริ่มพบกลิ่นอายเกี่ยวกับกิจกรรมการละครขึ้นมาบ้าง ก่อนจะมาลงตัวในภาพรวมของ “คณะสถาปัตยกรรมฯ” ซึ่งเป็นที่รู้ ๆ กันในแวดวงการศึกษาว่าคณะสถาปัตยกรรมคือต้นแบบของละครเวทีที่เลื่องชื่ออยู่แล้ว ผมค่อนข้างรู้สึกคึกคักและตื่นเต้นเสมอเมื่อได้รับข่าวว่าช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งองค์กรเหล่านี้จะมีละครให้ได้ยลกันสักครั้ง ผมชอบสังเกตการณ์การเปิดตัวประชาสัมพันธ์แต่ละครั้งรู้สึกว่าน่าสนใจพอ ๆ กับการแสดงที่จะมีขึ้นในเร็ววัน และชอบที่จะสะสมโปสเตอร์ บัตรและสื่ออื่น ๆ ไว้เท่าที่จะหามาได้และถึงขั้นเคยได้เปรยกับอาจารย์ท่านหนึ่งว่านิสิตที่จะจัดละครได้นั้นต้องมี “พลังทางความคิด” และมีศักยภาพด้านการสร้างสรรค์ที่เยี่ยมยอดอย่างน่าทึ่ง (ถึงแม้บางครั้งจะรู้สึกหมั่นไส้ในภาพความเป็น “ศิลปิน” ของนิสิตอยู่บ้าง) โดยเฉพาะในช่วงปี ๒๕๔๖ ที่ผ่านมามีละครให้ดูมากกว่า ๓ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นมายาสาไถย จากคณะวิทยาการสารสนเทศ ดงฮา จากชมรมศิลปะการแสดงและอินทรีแดง จากคณะสถาปัตย์ฯ ซึ่งทุกเรื่องได้มีการเปิดตัวและนำเสนอเรื่องราวอย่างน่าสนใจ จนผมยังแอบนึกที่จะชักชวนให้นิสิตร่วมใจกันผลักดันให้เป็น “เทศกาลละคร มมส” เลยก็ว่าได้
กิจกรรมการละคร ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นแง่มุมชีวิตของมนุษยชาติผ่านตัวละครที่คัดกรองออกมาจากวรรณกรรมแต่ละเรื่อง แต่ความน่าสนใจของกิจกรรมการละครที่ผมเพ่งมองอยู่เสมอก็คือมุมมอง แนวคิดของนิสิตที่เพียรพยายามหยิบยกออกมานำเสนอต่อผู้ชมในแต่ละครั้งนั่นคืออะไร ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่ปรากฏในตัวบท (วรรณกรรม) แต่อาจจะหมายถึงมุมมองใหม่ที่นิสิตได้สังเคราะห์และตีความบนกรอบของยุคสมัยปัจจุบันด้วยเช่นกัน และผมค่อนข้างจะชื่นชมเป็นพิเศษก็คือองค์กรที่จัดละครขึ้นมานั้นได้ขับเคลื่อนต่อเนื่องในแต่ละปี เสมือนว่ากลายเป็น “วัฒนธรรม” องค์กรนั้น ๆ ไปแล้ว กระทั่งยังเคยคิดบ้าบิ่นว่า ฝ่ายพัฒนานิสิตน่าจะทุ่มงบประมาณสักก้อนให้องค์กรเหล่านี้จัดละคร “เมืองน่าอยู่” ขึ้นมาสักตอนเพื่อรณรงค์ให้นิสิตมีจิตสำนึกสาธารณะที่ดีในการอยู่ร่วมกัน และกำหนดให้เป็นช่วงเทศกาลละคร มมส มีองค์กรต่าง ๆ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรังสรรค์บรรยากาศอันรื่นรมย์นี้ร่วมกันในช่วงเหมันตฤดู อย่างไรก็ดี แม้บางเรื่องราวของละครที่จัดขึ้นอาจไม่พบตัวละครที่เกี่ยวกับนิสิตนักศึกษาโดยตรง แต่ก็เพียงพอแล้วเพราะได้สื่อสะท้อนให้เห็นภาพชีวิตของมนุษย์ในอีกแง่มุมหนึ่ง สถานภาพหนึ่งที่มีอยู่ หรืออาจมีอยู่ในโลกใบนี้ที่อาจช่วยให้บางคนได้หวนคิดและนำไปสู่การเข้าใจชีวิตมากขึ้น รวมทั้งการได้เสพศิลปะจากมันสมองของหนุ่มสาวที่เรียกตนเองว่า “ปัญญาชน” กระทั่งการได้หวนรำลึกถึงคืนเก่าก่อนแห่งอดีตที่ล่วงผ่านมาเป็นสำคัญ เช่นเดียวกับที่คณะสถาปัตย์ฯ ได้เปิดตัวละครเรื่องใหม่ (Big chair) ตั้งแต่ลมฝนยังไม่จางหาย ก็น่าจะเชื่อได้ว่าครั้งนี้อาจมีเรื่องราวและมุมมองความคิดที่น่าสนใจมิใช่น้อย ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ชิงเปิดตัวก่อนกาลดังเช่นที่ผ่านมา เหนือสิ่งอื่นใด, กิจกรรมการละครมิใช่เพียงการเสนอเรื่องราวชีวิตมนุษย์ผ่านความรื่นรมย์ของละครเท่านั้น แต่ผมกำลังจะย้ำเน้นว่ากิจกรรมการละครที่เกิดขึ้นนั้น ได้กลายมา เป็นปรากฏการณ์ทางด้านกิจกรรมที่สำคัญในแง่ของการสะท้อนให้เห็นศักยภาพทางความคิดของนิสิตที่น่าทึ่งและน่าสนใจที่เปลี่ยนและพลิกผันไปตามห้วงเวลา รวมถึงกระบวนการจัดเตรียมงานอย่างเป็นระบบขั้นตอน ภายใต้ทีมงานที่ “เข้มแข็ง” และ “จัดเจน” เป็นขุนพลขับเคลื่อนในการสื่อสารความคิดผ่านละครเวทีสู่สาธารณชน ขณะเดียวกันบางทีเราอาจหันมาวิเคราะห์กันสักนิดว่า กิจกรรมการละครอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในกระบวนการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนิสิต มมส ที่อาจต้องลงทุนงบประมาณมากสักนิดแต่ผลลัพธ์ที่มีต่อผู้จัดและผู้เสพนั้นอาจมีอานุภาพพอกัน ตรงกันข้ามกับบางกิจกรรมที่ใช้ต้นทุนงบประมาณจำนวนมาก แต่ผลิตผลทางความคิดกลับไม่งอกเงยเลยก็มี ... หรือในอนาคตอันใกล้ ใครจะรู้ได้ว่า วันดีคืนดีอาจจะมีละครเวทีที่เกี่ยวกับ มมส ทั้งในแง่มุมที่งดงามและอัปลักษณ์ก็ได้ (ใครจะไปรู้) บทส่งท้าย ท้ายที่สุด ผมก็ยังอยากจะยืนยันว่าแท้ที่จริงอาจจะยังมีกิจกรรมอีกหลายกิจกรรมที่ควรหยิบยกมากล่าวถึงในที่นี้ แต่ที่ผมนำมาแก่ 2 ประเด็นนี้ เพราะส่วนตัวเห็นว่ามีความชัดเจนในเชิงของการขับเคลื่อนให้เกิดภาพหรือปรากฏการณ์ทางด้านกิจกรรมที่แจ่มชัด และยังสะท้อนให้เห็นความกลมกลืนอันเกิดจากกระบวนการบูรณาการระหว่างศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน และผลิตออกมาสู่สาธารณชนในรูปของกิจกรรม ซึ่งเสพสัมผัสได้ถึงรสชาติแห่งความรื่นรมย์และรสชาติแห่งพลังทางปัญญา - (ผมเข้าใจและเชื่อ เช่นนั้น !) |
ผมเคยฟังผู้ใหญ่หลายท่าน พูดถึง ความหลากหลายทางความคิดที่ก่อเกิดความเข้มแข็งและความชัดเจนในชีวิต ท่านบอกว่า หลากหลาย เข้มแข็ง ชัดเจน รวมกันเรียกว่า ความเจนจบ ดังนั้นผมเห็นว่า สิ่งที่คุณแผ่นดิน กำลังสานต่อคือการเสริมสร้างความเจนจบในชีวิต ให้แก่นิสิต มมส. ทุกคน
เรียนพี่พนัส
ด้วยความเคารพ
มาเยี่ยม ชื่นชมการมีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ก่อเกิดพลังทางปัญญานะครับ
ทำให้นึกถึงนักศึกษาตั้งกลุ่มเขียนภาพที่ใกล้ทางออกประตูมหาวิทยาลัยเมืองพาราณสี ช่วงที่ผมเรียน ป. เอกอยู่ คือ เรานั่งแล้วเขาวาดภาพเราในขณะนั้นเท่า ส.ค.ส. เสร็จแล้วเขาส่งให้เราจ่ายตางค์เลยครับ
หรือเรามีรูปถ่ายยื่นให้เขา เขาก็วาดเสร็จใช้เวลาไม่มากครับ
ขอบคุณครับ
อาจารย์ umi
พี่พนัส
ผมจะขออนุญาต นำบทความของพี่ไปลงในหนังสือรวบรวมเรื่องราวกิจกรรมนักศึกษา มข .นะครับ เพื่อเป็นแนวทางและอุดมการณ์ในการทำกิจกรรมครับ
ภาสกร เตือประโคน