สามสัปดาห์แรก ข้าพเจ้าอยู่ที่ห้องฟลูออโรสโคปีและห้องตรวจระบบทางเดินปัสสาวะ (IVP) ซึ่งมีการผลัดห้องกับธีรพันธ์คนละอาทิตย์ครึ่ง โดยที่ข้าพเจ้าอยู่ห้อง IVP ก่อน ในห้องนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจเฉลี่ยวันละ 5-6 คน ซึ่งเยอะมากในความรู้สึกของข้าพเจ้า การตรวจนั้นผู้ป่วยจะเข้ามาตรวจที่ละ 2 คน เพราะมี 2 เตียงติดกันต้องมีการ Protection ผู้ป่วยอีกคนที่ไม่ได้ตรวจและต้องมีการจดบันทึกด้วยว่าใครถ่ายไปแล้วกี่นาที ซึ่งเทคนิคที่นี้มีดังนี้ คือ ฟิล์มแรกจะทำการ Scout เพื่อดูอวัยวะผู้ป่วย, เอกโพเชอร์ พิจารณาความเหมาะสมว่าสามารถทำการตรวจต่อไปได้หรือไม่ จากนั้นจะทำการถ่ายภาพรังสีตามเวลาดังนี้คือ ที่ 1, 3, 10, 25 นาที, Full bladder และ Post Voiding อาจารย์ที่อยู่ประจำห้องสอนได้ดี บอกเหตุผลและวิธีการตรวจได้ดีเช่นกัน ฿฿฿฿฿฿฿ จากห้อง IVP ก็ได้ย้ายไปอยู่ห้องฟลูออโรสโคปี ซึ่งเป็นห้องตรวจพิเศษทางรังสีต่างๆ เช่น การตรวจระบบทางเดินอาหาร Barium swallowing, GI Study, Long GI Study, Barium Enema และยังมีการตรวจพิเศษชนิดอื่นอีกคือ การตรวจต่อมน้ำลาย (Sialography) , การตรวจระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (Hysterosalpingography), ตรวจเส้นเลือดดำ (Venography) และที่สำคัญการตรวจต่อมน้ำตา (Dacryocrystography) เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นและได้ยินที่นี้ ห้องฟลูออโรสโคปีที่ใช้ตรวจมีสองห้องคือห้องเอกซเรย์เบอร์ห้าจะเป็นเครื่องฟลูออโรสโคปีแบบเก่ามากๆ ห้องนี้เหมาะสำหรับการฝึกงานเพราะจะได้ทำเยอะกว่า ส่วนอีกห้องคือห้องเอกซเรย์เบอร์หกจะเป็นเครื่องฟลูออโรสโคปีแบบใหม่มากๆ เป็นแบบดิจิตอล (DSI) ลักษณะเครื่องมีลักษณะเป็นซีอาร์ม มีเตียงหมุนได้ 360 องศา เมื่อมีผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเครื่องนี้ จะให้ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงแล้วจะทำการรัดตึงผู้ป่วยด้วยสายรัด เมื่อถึงเวลาฟลูก็หมุนเตียงอยากดูอวัยวะใดท่าไหนก็สามารถหมุนเตียงดูได้ ทำให้ข้าพเจ้าสงสารผู้ป่วยมากๆ โดยเฉพาะคนสูงอายุแล้วยังต้องถ่ายท่านอนคว่ำ ซึ่งเหมือนมันจะตกแต่ก็ไม่ตกเพราะข้าพเจ้าได้ลงมาแล้ว ดังนั้นการให้ข้อมูลกับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญมากเช่นกัน คือต้องมีการบอกผู้ป่วยเสมอว่าจะทำการตรวจอะไร, ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตัวอย่างไรขณะตรวจต้องให้ข้อมูลกับผู้ป่วยเป็นอย่างดี ซึ่งจะทำให้การตรวจมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลด้วย อีกอย่างเครื่องที่ทันสมัยมากๆ ก็จะมีปัญหาที่ตามมาเสมอคือ เครื่องเกิดมีปัญหา (Error) ขณะตรวจไม่สามารถขยับได้มีปัญหาบ่อยมากับเครื่องนี้ ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่ Case หนึ่งผู้ป่วยทำ Barium Enema เมื่อจะถ่าย Overhead ท่า Cross table Prone rectum เครื่องเกิดเสียขึ้นมาทำอย่างไรก็ขยับไม่ได้ต้องช่วยกันเอาคนไข้ลงอย่างทุลักทุเล ถึงกระนั้นเครื่อง DSI ก็มีข้อดีคือ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานได้รับปริมาณรังสีน้อยลง, ภาพที่ได้มีความชัดเจน, สะดวกในการตรวจ การตรวจพิเศษนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจเป็นผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารเป็นส่วนใหญ่ หน้าที่หลักๆของข้าพเจ้าคือทุกเช้าต้องมาปั่นแป้งแบเรียมและเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำการตรวจ อาจารย์ที่อยู่ประจำห้องเป็นกันเอง อีกทั้งยังมีพยาบาลประจำห้องฟลูออโรสโคปีซึ่งเก่งมากๆ สามารถทำงานแทนนักรังสีได้เลย ซึ่งประสบการณ์และความรู้ทางรังสีไม่น้อยหน้าใครเลย ข้าพเจ้าจึงได้เทคนิคการตรวจต่างๆ จากบุคลลากรประจำห้องนี้มาอย่างมาก และข้าพเจ้าคิดว่าสามารถนำความรู้นี้มาปรับใช้กับสถานที่ทำงานในอนาคตได้เช่นกัน