หน้าแรก
สมาชิก
opgkm
สมุด
เวทีเรียนรู้ของที...
โครงการประชารัฐร่...
opgkm
กิติมาภรณ์ จิตราทร
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
โครงการประชารัฐร่วมใจปฏิรูปสุขภาพและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
เป้าหมาย: เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาคมและชุมชนท้องถิ่นในลุ่มน้ำหนองหาน ด้วยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือของภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดการสุขภาพของคนในชุมชน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในบึงหนองหานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในระดับครอบครัวและระดับชุมชน เกิดสุขภาวะในชุมชนอย่างยั่งยืน
โครงการประชารัฐร่วมใจปฏิรูปสุขภาพและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
1
.คำสำคัญ
:
กระบวนการเรียนรู้ การมีส่วนร่วม
2
.จังหวัด
:
อุดรธานี
3
.กลุ่มเป้าหมาย
:
ประชาชน ผู้นำชุมชน อาสาสมัครหมู่บ้าน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในชุมชนลุ่มน้ำหนองหาน ประกอบด้วย ตำบลเชียงแหว หมู่
1
2 3
4
5
7 10
และ
11
ตำบลแซแล หมู่
10 11
และ
12
ตำบลกุมภวาปี บ้านดอนแก้ว ตำบลพันดอน บ้านดงเมือง บ้านเวียงคำนาแยก และบ้านยางหล่อ
4
.เป้าหมาย
:
เสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ประชาคมและชุมชนท้องถิ่นในลุ่มน้ำหนองหาน ด้วยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือของภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดการสุขภาพของคนในชุมชน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในบึงหนองหานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในระดับครอบครัวและระดับชุมชน เกิดสุขภาวะในชุมชนอย่างยั่งยืน
5
.สาระสำคัญของโครงการ
:
ผลกระทบจากการดำเนินโครงการโขง ชี มูล หรือโครงการอีสานเขียว เพื่อกักเก็บน้ำให้กับชาวอีสาน ด้วยการก่อสร้างคันดินรอบหนองหาน แต่เนื่องจากหนองหานเป็นพื้นที่ราบลุ่มต่ำจึงเอื้อต่อการรองรับสิ่งปฏิกูลจากชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบกว่า
60
ชุมชน การก่อสร้างคันดินที่เชื่อมระหว่างบึงหนองหานกับแม่น้ำลำปาว (บึงหนองหานเป็นต้นน้ำของแม่นำลำปาว) มีผลต่อการไหลเข้า-ออกของน้ำที่ไหลเข้าสู่บึงหนองหานต้องหันเหเปลี่ยนทิศทาง ทำให้บึงหนองหานเกิดความตื่นเขิน ทุกวันนี้หนองหานเต็มไปด้วย
“
สนม
”
หรือวัชชพืชที่อุดตันปิดกั้นเส้นทางคมนาคมซึ่งกินพื้นที่นับพันไร่ ขณะที่บึงหนองหานมีพื้นที่กว้างประมาณ
2
หมื่นไร่ สภาพอุดตันดังกล่าวยิ่งซ้ำเติมก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังนาข้าวของชาวบ้าน โดยมีพื้นที่บางแห่งเสียหายจนไม่สามารถทำการเพาะปลูกข้าวได้ในฤดูฝน
สภาพปัญหาดังกล่าว สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (แอลดีไอ) จึงเสนอขอทุนสนับสนุนดำเนินโครงการประชารัฐร่วมใจปฏิรูปสุขภาพและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อศึกษา วิจัย และวิเคราะห์สภาพของบึงหนองหานอย่างจริงจัง โดยมีศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาสุขภาพภาคประชาชน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาสานต่อโครงการในภายหลังจนเสร็จสิ้นโครงการฯ แทนนักวิชาการที่ดำเนินโครงการฯ ให้กับแอลดีไอในช่วงแรกๆ ทั้งนี้เพื่อหาหนทางฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในบึงหนองหานให้กลับคืนมา
6
.เครื่องมือที่ใช้
:
ผ่านกิจกรรมหลักๆ คือ
1
.
1
สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับแกนนำชาวบ้าน โดยการจัดให้แกนนำชาวบ้านแบ่งกลุ่มลงพื้นที่เก็บข้อมูลในบึงหนองหาน กลุ่มหนึ่งสำรวจพันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ อีกกลุ่มหนึ่งสำรวจสภาพพื้นที่ของบึงหนองหานทั้งหมด
1
.
2
จัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้าน โดยแต่ละตำบลแยกกันจัด เพื่อให้แกนนำชาวบ้านได้นำเสนอข้อมูลและเปิดโอกาสให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นจาก หลังจากนั้นให่แต่ละตำบลจัดเวทีย่อยขึ้นอีกตำบลละ
1
ครั้ง เพื่อร่วมกันวางแผนงานอนุรักษ์บึงหนองหาน
ทั้ง
2
กิจกรรม เป็นการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นในชุมชน โดยเริ่มต้นจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับแกนนำชาวบ้าน เพื่อให้แกนนำชาวบ้านได้สัมผัสและรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพปัญหาของบึงหนองหานด้วยตนเอง อาทิ เช่น แกนนำชาวบ้านได้เรียนรู้ว่าชนิดของพันธุ์ปลา หรือพันธุ์พืช ที่มีอยู่ในบึงหนองหานในปัจจุบัน แต่ละชนิดมีปริมาณมากขึ้นหรือลดน้อยลงอย่างไร หลังจากรับรู้ข้อมูลก็นำความรู้นั้นมานำเสนอต่อชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้รับรู้ข้อมูลร่วมกัน และนำไปสู่การมีส่วนร่วมของชุมชนโดยการวางแผนเพื่ออนุรักษ์บึงหนองหาน
7
.การจัดระบบ โครงสร้าง กระบวนการทำงาน
:
ผู้รับผิดชอบและนำเสนอโครงการฯ ต่อสสส.คือ แอลดีไอ ซึ่งมอบหมายให้นักวิชาการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในบึงหนองหาน กระทั่งเปลี่ยนมือให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์ฝึกอบรมฯ ระยะแรกของการดำเนินโครงการฯ ซึ่งใช้เวลาประมาณ
3-4
เดือน เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกอบรมฯ เพียงลงไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับแกนนำชาวบ้าน
จนกระทั่งผ่านกระบวนการเรียนรู้และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกในชุมชน ก่อนจะร่วมกันกำหนดออกมาเป็นแผนงานอนุรักษ์บึงหนองหาน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกอบรมฯ ก็เปิดโอกาสให้แกนนำชาวบ้าน และสมาชิกในชุมชนดำเนินกิจกรรมกันเองตามแผนงานที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากทุกฝ่ายในชุมชน โดยมีผู้ประสานงานในพื้นที่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำสถานีอนามัย และผู้บริหารโรงเรียนบ้านเดียม คอยทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการกระตุ้น ให้คำปรึกษา และคำชี้แนะแก่ชาวบ้านอย่างใกล้ชิด
8
.ขอบเขตและระยะเวลาดำเนินโครงการ
:
ระยะเวลา
1
ปี หว่างเดือนมิถุนายน
2546 -
พฤษภาคม
2547
โดยดำเนินการกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนลุ่มน้ำหนองหานซึ่งสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย ต.เชียงแหว หมู่ที่
1 2 3 4 5 7 10-11
ต.แซแล หมู่ที่
10-12
บ้านดอนแก้ว ต.กุมภวาปี และต.พันดอน บ้านดงเมือง บ้านเวียงคำนาแบก และบ้านยางหล่อ จ.อุดรธานี
9
.การประเมินผลและผลกระทบ
:
ชุมชนเกิดความตระหนักและหวงแหนบึงหนองหานซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของชุมชนและหันมาร่วมมือกันอนุรักษ์บึงหนองหานผ่านกิจกรรมต่างๆ
โดยมีแกนนำหลักของชุมชน คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเดียม กับนักวิชาการสาธารณสุข
7
ประจำสถานอนามัยเชียงแหว คอยให้คำแนะนำและกระตุ้นให้กิจกรรมต่างๆ ของโครงการฯ เกิดความต่อเนื่อง ขณะที่ผู้อำนวยการร.ร.บ้านเดียมเล็งเห็นความสำคัญของการประชาสัมพันธ์เผยแพร่กิจกรรม จึงดำเนินการจัดทำเวปไซด์ร.ร.บ้านเดียมเพื่อทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมให้สาธารณชนวงกว้างรับรู้และรู้จักบึงหนองหาน รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ของโครงการฯ
อย่างไรก็ดี หลังปิดโครงการฯ ไม่มีการประเมินผลโครงการฯ จากผู้รับผิดชอบโครงการฯ
10
.ความยั่งยืน
:
กิจกรรมต่างๆ ของโครงการฯ ยังคงดำเนินการอยู่จนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย กิจกรรมหลักๆ คือ
หมู่บ้านโฮมสเตย์ การจัดให้มีการลงเรือเพื่อชมบัวแดงบานในบึงหนองหาน ซึ่งผลิบานปีละ
1
ครั้ง ในช่วงฤดูหนาว (ต.ค.-ก.พ.) และการกำหนดเขตอภัยทานห้ามจับสัตว์น้ำ ซึ่งกำหนดห้ามให้ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.ของทุกปี ห้ามชาวบ้านใช้ตาข่ายที่เล็กกว่า
3
.
5
เซ็นติเมตร จับปลาในบึงหนองหาน โดยเฉพาะปลาลูกคอก หรือปลาช่อน ซึ่งชุกชุมมากในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
11
.จุดแข็งและอุปสรรค
:
ชาวบ้านมีส่วนร่วมในโครงการฯ อย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน แกนนำของชาวบ้าน (ผอ.ร.ร.บ้านเดียมและนักวิชาการสาธารณสุข) ก็มีศักยภาพ มีความมุ่งมั่น สามารถสร้างศรัทธาให้ชาวบ้านดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้โครงการฯ เกิดความต่อเนื่องอย่างยั่งยืนคือ การพัฒนาข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่วิจัยบึงหนองหานซึ่งจัดทำอยู่ทุกปีโดยหน่วยงานภาครัฐ และสถานการศึกษาหลายแห่ง ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ท.ท.ท.) ควรให้ความสำคัญกับบึงหนองหานมากขึ้น โดยการประชาสัมพันธ์ให้สาธารณชนรับรู้เช่นเดียวกับพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
12
.ที่ติดต่อ
:
โรงเรียนบ้านเดียม สถานีอนามัยเชียงแหว
เขียนใน
GotoKnow
โดย
opgkm
ใน
เวทีเรียนรู้ของทีมOpg KM
คำสำคัญ (Tags):
#กระบวนการเรียนรู้
#การมีส่วนร่วม
หมายเลขบันทึก: 72078
เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2007 13:05 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:00 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
วรนันท์
เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2009 17:30 น. (
)
ทุกวิธีการเรียนรู้ น่าจะนำผู้นำชุมชนไปศึกษาดูงานของแต่ละชุมชน เพื่อเป็นแนวทางในการนำมาพัฒนาชุมชนค่ะ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
opgkm
สมุด
เวทีเรียนรู้ของที...
โครงการประชารัฐร่...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท