ยายจวน เป็นคนถิ่นอื่นมาอาศัยอยู่กับลูกสาวและลูกเขยเมื่อ ๒-๓ ปีก่อน
นางเป็นคนยากจนเงินทอง แต่นางเป็นคนซื่อสัตย์ รักสงบ ไม่วุ่นวายกับผู้อื่น มีน้ำใจกับผู้ที่อยู่ละแวกเดียวกัน ใครให้ไปช่วยทำอะไร กวาดบ้าน ล้างจาน เอาข้าวให้หมา ไปซื้อของให้ แม้แต่ไปช่วยเกี่ยวข้าว ยายจวนไม่เคยเกี่ยงงอน ผู้คนในซอยของดิฉันเมื่อได้ใช้บริการของนางแล้ว ก็หยิบยื่นเงินทองให้ตามสมควร บ้างก็แบ่งปันข้าวปลาอาหารให้กิน แกก็รับเอา แล้วแต่จะให้ อาศัยสิ่งเหล่านี้ดำเนินชีวิตไป
ดิฉันจะเจอกับยายจวน ๒ เวลา คือตอนเช้า นางจะไปตักบาตร และตอนเย็นไปเดินออกกำลังริมเขื่อนน้ำของ ( ที่นี่เรียกเขื่อน ที่จริงเป็นทางเดินริมน้ำ มีพนักสูงเสมอเอวทั้งกันตลิ่งพังและกันคนตกลงไป ) บางทีเราก็เดินออกกำลังกายด้วยกัน ได้คุยกัน
นางเป็นคนเรียบง่าย ไม่ยึดมั่นอะไรมากนักให้ปวดหัว หรือเป็นเพราะว่ามันยึดไม่ได้ก็ไม่รู้ นางเล่าว่า อาตุ๊เอ๋ย ลูกหลานเราน่ะ เราบอก เราสอนเขา เขาก็ว่าเราพูดมาก เราบ่น เราพูดแล้ว ถ้าเขายังเป็นเหมือนเดิม ก็ต้องปล่อยเขาไปตามเรื่องของเขา
อยู่มาวันหนึ่ง นางบอกว่า นอนก็นอนไม่หลับ เป็นห่วงลูกชายทำงานที่กรุงเทพถูกไฟชอต เป็นหรือตายก็เท่ากัน ไม่ได้สติ....เวลาล่วงไปดิฉันได้ทราบว่า มีการย้ายลูกชายของนางจาก โรงพยาบาลใหญ่มาโรงพยาบาลเล็ก เล็ก เล็ก ลงมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดเอามาพักดูแลที่บ้าน และไม่นานนักก็เสียชีวิต
ดิฉันรีบไปวัดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนในงานศพ ไปถึงเห็นเพื่อนบ้านในซอยช่วยกันจัดการดูแลข้าว ปลา อาหาร
ศพตั้งไว้วัดเพียงคืนเดียว วันรุ่งขึ้น บ่ายสามโมงก็เผา เป็นงานศพที่เรยบง่ายมาก ไม่มีผู้ทีเกียรติ มียศสูงส่งทั้งหลาย มีแต่คนรู้จักกันจริง ๆ
ก่อนจะย้ายศพจากศาลาสู่เมรุ จะมีพิธีตัดญาติ แล้วจึงแห่ศพรอบเมรูสามรอบ ดิฉันก็ไปเดินจูงศพกับญาติและคนอื่น ๆ พอรอบสุดท้าย ดิฉันจึงสังเกตเห็นยายจวนยืนเงียบหันหลังให้เมรุใต้ต้นพิกุล หลังมือป้ายน้ำตา สะอึกสะอื้น ตัวโยน มีคนยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ เอามือแตะข้อศอกปลอบใจ เป็นความเศร้าสร้อย ห่วงหาอาลัยอันเงียบเชียบของคนเล็กคนน้อย ที่แม้แต่เสียงสะอื้นให้ก็ไม่มีใครได้ยิน
หัวอกผู้เป็นแม่ ผู้สูญเสียลูกในวัยอันหนุ่มแน่น และด้วยเหตุอันไม่คาดฝัน มันคงหนักหน่วงจนระงับไว้ไม่ได้....ดิฉันสงสารนางจับใจ
ในความเศร้าสร้อยอาลัยอาวรณ์กันนั้น จิตใจช่างอ่อนหวานนุ่มนวล
ในความยากจนนั้นมันได้ช่วยลดอหังการ์ของมนุษย์ลง และฉายคุณสมบัติด้านบวกออกมา
ลึก ๆ แล้วในหมู่มนุษย์ต้องการทำดีต่อกัน รักกัน ต้องการเกื้อหนุนกันกายสังขารละได้และหมดไปเมื่อถึงเวลา
แต่ความดี ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้แก่กันและกัน นั้นยังคงอยู่
ขอความดียังอยู่ในใจของผู้คน คนในสงคมไทย
ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณค่ะคุณศิริพงษ์และคุณพันดา
ดิฉันจะถือโอกาสขอความช่วยเหลือเลยค่ะ
๑) ดิฉันอยากจะทำตัวหนังสือที่มัน ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ทำอย่างไรคะ
๒) ทำไมสมุดบันทึก คนนอกระบบรู้หนังสือกับการเรียนรุ้และจัดการความรู้ หน้าตามันทำไปเป็นแบบนั้น เบื้องต้นดิฉันพยายามที่จะทดลองเปลี่ยนหน้าตาไปเป็น vintage style ดังที่ ดร. จันทวรรณ เขียนไว้ พอทำไปแล้วทำไมเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้ ข้อมูลที่เป็นรูปและรายละเอียดอื่น ด้านขวามือตกไปอยู่ข้างล่าง
กรุณาชี้แนะด้วย ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
งานศพจะจัดเล็กหรือใหญ่ จัดให้ใคร
คนที่นอนทอดร่างอยู่นั้นไม่รู้ไม่ชี้ รับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
คนที่จัดเองต่างหากที่ไม่เข้าใจว่าจัดเพื่อใคร ถ้าจัดเพื่อตนเอง ก็ประมาณการเอาเองว่าจุดพอดีอยู่ตรงไหน คนมันยุ่งเพราะคิดเรื่องยุ่งๆขึ้นมาทำ ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก การตายก็เหมือนการDelete
เคาะปับก็ไปแล้วววว..เท่านี้จริงๆ ตอนข้าน้อยตาย ช่วยทำอย่างนี้ให้ด้วยนะ
1 ขุดหลุมไว้ใต้ต้นยูคาลิปตัสต้นใหญ่หน้าบ้าน
2 เอาสื่อเก่าๆมาปู หมอนไม่ต้อง
3 หามข้าน้อยไปวางที่ข้างหลุม
4 ตอนหายใจเฮือกสุดท้าย จะพลิกตัวสะเดิดลงหลุมเอง
5 ช่วยกันเอาดินกลบ รดน้ำ กายจะได้เป็นปุ๋ยเร็วๆ
6 ทำบุญตักบาตร ตอนเช้า เท่านี้พอ ไม่ต้องจัดอะไรอีก
7 ถ้าคิดถึงก็มาอ่านที่บล็อกนี่แหละ จะพยายามมาเขียนให้อ่านบ่อยๆ
ครูบาคะ
๑) แม่ใหญ่ไม่รับรู้ด้วยตอนตายแล้ว
๒) แม่ใหญ่จองมาอยู่ตอนที่จวนจะ...ไว้แล้วค่ะ ไม่ลืมค่ะ
๓) ข้อสุดท้ายขอเผ่นก่อนล่ะค่ะ