เมนูอาหารวันที่สองก่อนกลับบ้าน เริ่มต้นด้วยอาหารจานใหญ่
<p> </p><p>
วันที่สองเริ่มด้วยอาหารจานหลัก มีคุณไพบูลย์ วัฒนศิริรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คือ มาบรรยายเรื่อง การจัดการความรู้กับการพัฒนาสังคม… สังคมอุดมปัญญา ผมเปรียบอาหารจานหลักที่ท่านรัฐมนตรี เหมือนกับอาหารจานใหญ่ ที่ต้องการคนมาช่วยปรุง ซึ่งท่านอยากให้ท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ และ ดร.ประพนธ์ มาช่วยปรุงให้ เนื่องจากอาหารจานนี้เป็นอาหารจานใหญ่ (สิ่งที่ได้เรียนรู้ถึงการจัดการความรู้ในมุมมองของรัฐมนตรี) ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยทำให้สังคมไม่ทอดทิ้งกัน สังคมเข้มแข็ง และสังคมมีคุณธรรม แต่จะทำอย่างไร นี้คงต้องช่วยกันคบคิดต่อไปครับ
อาหารบุฟเฟ่ต์ สไตล์อาหารเจ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา</p><p> </p><div style="text-align: center"></div><p align="left">
หมดจากอาหารจานใหญ่แล้ว เป็นอาหารแบบบุฟเฟต์ ที่แล้วแต่ แต่ละคนจะเลือกทาน ผมเลือกทานอาหารเจ ของดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งท่านบรรยายเรื่อง เมื่อคุณธรรม…นำการศึกษา ฟังชื่อเรื่อง ผู้อ่านคงเดาผมออกว่า ทำไมผมจึงเปรียบการบรรยายของท่าน เป็นอาหารเจ เพราะจากสาระที่ผมฟังจากท่านแล้ว ทำให้รู้สึกลด ละ กิเลสความเห็นแก่ตัว และไม่เบียดเบียนผู้อื่นครับ ท่านเริ่มจากให้ทำสมาธิก่อน โดยให้นึกถึงแสงสว่าง และให้นึกถึงว่า แสงสว่างนั้นได้ส่องสว่างไปทุกส่วนของร่างกาย จนถึงแผ่ไปถึงผู้อื่นด้วย มีการร้องเพลงธรรมะ ตามด้วยนิทานที่แฝงด้วยคติธรรม และการบริหารโรงเรียนสัตยาใสของท่าน ที่เน้นคุณธรรม…นำการศึกษา ผมได้ฟังการบรรยายของท่านแล้ว มีความรู้สึกว่าผมได้เชื่อมต่อกับความรู้จากการฟังบรรยายของดร.ประพนธ์ ที่บรรยายเรื่อง ไหลลื่น…ไปกับคลื่นปัญญา และทำให้รู้สึกว่านี้ คือ สิ่งที่เหนือ KM เพราะความรู้จาก KM ที่ดร.ประพนธ์ บรรยายว่า KM ช่วยให้มีความรู้ใน 2 ระดับ คือ รู้จำ ทำเป็น แต่สิ่งที่เหนือขึ้นไปคือ การเห็นจริง (เป็นสิ่งที่เกิดคาดของผมจริง ๆ ที่ได้ฟังการบรรยายของดร.อาจอง ) ความตั้งใจของผมที่มาในงานอยากเรียนรู้ Best Practice ของหน่วยงานต่าง ๆ แต่การมาฟังการบรรยายจากดร.ประพนธ์ และ ดร.อาจอง เป็นสิ่งที่เกินคุ้ม และเกินความคาดหวังของผมจริง ๆ สำหรับการมาเข้าร่วมงานมหกรรมการจัดการความรู้ฯ ในครั้งนี้ ตอนที่ฟังบรรยายของดร.อาจอง เสร็จ ก็ได้แวะไปเยี่ยมชมบูธของโรงเรียนสัตยาใสด้วย
อาหารแบบบุฟเฟ่ต์ สไตล์อาหารรวมมิตร จากห้อง KFCoP</p><p align="center"> </p><p>
ช่วงตอนบ่าย ผมแวะไปที่ห้อง KFCoP ซี่งมีท่านอาจารย์จิตเจริญเป็นประธานดูแลอยู่ครับ เจอกับคุณขจิตที่เชิญชวนผู้ที่ผ่านไปมาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน สำหรับห้องนี้ผมเปรียบเหมือนกัน อาหารแบบรวมมิตร เพราะมีผู้ประสบการณ์หลากหลายในการเป็นคุณอำนวย มาเล่าประสบการณ์การเป็นคุณอำนวยให้ผู้เข้าร่วมได้รับฟัง และยังมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันด้วย (ความจริงห้องนี้เป็นสิ่งที่เกินคาดจากที่ผมคาดหวังไว้) เพราะคิดว่าคงเป็นเพียงการมาเล่าของผู้ที่เป็นคุณอำนวยเพียงอย่างเดียว แต่ช่วงที่ผมเข้าไป มีการจัดเก้าอี้ล้อมวงสำหรับผู้ที่มาร่วมรับฟัง ทำให้บรรยากาศเป็นแบบกันเอง และผู้ที่สนใจสามารถที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างอิสระ
เช็คบิลก่อนกลับบ้าน
การปิดงานก่อนกลับบ้าน สำหรับงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ผมรู้สึกว่าทำได้ดีมากครับ ที่มีตัวแทนจากภาคต่าง ๆ รวมถึงตัวแทนจาก สคส. มาเปิดใจพูดถึงการจัดงานในครั้งนี้ ทำให้ได้สิ่งที่สะท้อนถึงการจัดงานในครั้งนี้ได้อย่างสด ๆ (เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจัดงาน) สิ่งที่ผมตั้งใจอยากฟัง คือ การสรุปของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ จากบทสรุปของท่านทำให้ผมเห็นถึงสัจธรรมของการทำ KM (ผู้อ่านอ่านแล้ว เหมือนกับผมจะบรรลุ KM นะครับ) เริ่มจากไม่มีอะไร มาเป็นมีกระบวนท่า และไม่มีกระบวนท่า เพราะทำจนเนียนอยู่ในเนื้องานไปแล้ว ผมเปรียบอาหารจานนี้ของท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ เหมือนกับ น้ำ ที่เป็นสิ่งสำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิต เพราะหลายคนผมคิดว่าคงเต็มอิ่มกับ KM แบบบุฟเฟ่ต์ แล้ว แต่ตอนปิดท้ายในงานนี้ เหมือนกับท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ มาช่วยเติมน้ำให้กับทุกคน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นหลังจากรับประทานอาหารที่เต็มอิ่มครับ (สิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทสรุปของการจัดงาน)
สำหรับการจัดงานครั้งต่อไป นั้น ความจริงผมยังติดใจกับ KM แบบบุฟเฟ่ต์อยู่นะครับ ที่สามารถเลือกทานได้ตามจริตของแต่ละคน หรือว่าสนใจประเภทไหนก็สามารถเลือกได้ เพียงแต่มีอาหารครบ 5 หมู่ (ภาคราชการ ภาคเอกชน ภาคองค์กรอิสระ ภาคประชาชน ) อาจจะไม่ต้องเยอะมากนักก็ได้ สถานที่อาจปรับเปลี่ยนไปนอกจากกรุงเทพฯ บ้างก็ดีนะครับ
สิ่งที่ทึ่ง กับการจัดการครั้งนี้คือ บุคลากรของสคส. ที่มีคนน้อย แต่สามารถจัดงานได้อย่างมีคุณภาพ (สิ่งที่ได้น้อยกว่าความคาดหวัง คือ ไม่ได้เรียนรู้แบบลึกซึ้งของการบริหารจัดการในครั้งนี้ เพราะถ้าอยากเรียนรู้คงต้องปรึกษากับท่านอาจารย์หมอวิจารณ์ครับ)
บอย สหเวช
8 ม.ค. 50</p>
ถึง พี่วันเพ็ญครับ