สินค้าOTOP กลุ่มจักรสาน บ้านมะงา ตำบลสะแก อำเภภอสตึก จ.บุรีรัมย์โดยมีคุณ จันทร์แดง เลขา นายก อบต. สะแก เป็นผู้ดูแล และเป็นแม่งาน คอยประสานงานด้านการต้อนรับการรับใบสั่งซื้อสินค้า และบริการผู้มาเยือนอย่างประทับใจ
แต่ว่าผลของการจัดทำนโยบายที่ขาดชุดความรู้ที่เหมาะสม ทำให้ อบต. สะแกต้องจ่ายเงินกับผักตบชะวาอย่างเดียว 2 รอบคือระยะแรก เมื่อ 5 - 6 ปีที่แล้วจัดงบประมาณหลายหมื่นบาทเพื่อให้ชาวบ้านนำไปกำจัดผักตบชวาที่เต็มทุ่งเต็มนา ต่อมาก็จักสรรงบประมาณเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการนำเอาผักตบชะวามาจักสาน และต้องใช้งบประมาณมากกว่าเดิมหลายเท่าเพราะผักตบชวาในท้องถิ่นหมดแล้ว ต้องเหมารถไปซื้อมาจากที่อื่น
ยังดีที่พ่อเฒาแม่แก่ทั้งหลายในชุมชนที่มีชุดความรู้ในการจักสารเป็นทุนเดิม (บุญเก่า) จึงทำให้ผลิตภัณฑ์จากผีมือคนเฒ้าคนแก่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ชาวต่างชาติเช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่นสั่งซื้อจนผลิตไม่ทัน เพราะมีการพัฒนาผลิตภัณตลอดเวลา เช่นรองเท้าเตะสมุนไพร และยังมีการจักสารมังกรคู่สะท้านโลก และอีกมากมายหลายอย่าง
ณ ปัจจุบัน อบต. นอกจากให้การสนับสนุนกลุ่มจักสานแล้วยังให้ทุนกับโรงเรียนในเขตโรงเรียนละ 5000บาทสำหรับเป็นค่าดำเนินการเพื่อจัดทำโครงการนำเด็กนักเรียนมาฝึก ทั้งชั้นประถมและมัธยม ซึ่งแสดงว่ามีนักเรียนที่เป็นเยาวชนมาเรียนรู้กับกลุ่มจักสารกับบ้านมะงาเป็นจำนวนมาก ภายใต้การจัดการของ อบต. ยังไม่เห็นการเริ่มต้นจากนักเรียน ครู ไม่แน่ใจว่างานนี้เป็นกระบวนการเรียนรู้หรือการผลิตสินค้า เพราะเวลาผลิตสินค้าออกมาก็ยังเป็นคนเฒ่าคนแก่อยู่เหมือนเดิมที่ทำ ไม่เห็นลูกศิษย์ลูกหาทั้งตำบลมานั่งผลิตงานสืบทอดจากผู้เฒ่าผู้แก่เลย
แล้วเราจะช่วยกันอย่างไร ชุดความรู้ของชาวบ้านจึงจะอยู่ เป็นความรู้ ตัวจริงของ ชาติไทยเราครับ
คงต้องช่วยเคาะกระโหลกกะลา คนที่ทำหน้าที่ให้การศึกษาในพื้นที่ว่าทำไมไม่มีตา มีของดีอยู่ข้างตัว มัวเอาหูเอาตาไปทำอะไรจึงไม่ได้ยินไม่เห็น เป็นอันดับแรกค่ะพี่พงษ์
ลองกระตุ้นทาง อบต.อีกรอบแล้วเชิญไปเปิดหูเปิดตา เปิดสมองที่เม็กดำ อาจมีสัก 1 ใน 100 ก็ยังดี
คงต้องค่อยเป็นค่อยไปครับอาจารย์ศิริพงษ์
ขอให้เราปลูกจิต สร้างใจ แล้วสานฝัน สุดท้ายก็จะเกิดการปฏิบัติ และเรียนรู้ ตลอดไปครับ
แต่ในส่วนที่เหลือของผักตบนั้นอย่าได้ทิ้งเชียวนา เพราะสามารถนำมาเพาะเห็ด และเลี้ยงวัวได้ดีนักแล
ขอบคุณครับที่นำเรื่องดีๆ มาแบ่งปัน
ขอเป็นกำลังใจครับ
อุทัย