สัปดาห์นี้เกิดเหตุอาเพศอะไรก็ไม่รู้ เมื่ออาทิตย์ก่อนผมไปรับประทานอาหารเย็นที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ขณะที่ยืนคอยการบริการอยู่มีเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอายุประมาณสิบกว่าขวบมายืนใกล้ๆผม
สักครู่ก็มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินมายิ้มให้ผม แล้วจูงเด็กหญิงคนนั้นเดินออกไปพลางพูดว่า
“หลีกทางให้ คุณตา หน่อยซิค่ะ”
ทำให้ผมต้องกลับมานั่งกินข้าวไม่รู้รสไปหลายคำ
พิจารณาดูสารรูปตนเองทำนองปลงเป็นอศุภกรรมกรรมฐานให้ทำใจยอมรับว่า เราอยู่ในวัยที่ผู้อื่นเรียกขานว่า คุณตาได้แล้ว
ทำให้ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าอย่ามัวเมาว่าเรายังหนุ่มสาวอยู่ ทำให้เกิดความประมาทในชีวิต ละเลยในกิจที่ควรทำ
อย่างเช่นผมเองมัวเมาทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ในใจนั้นยังหลงคิดว่าเรายังอายุน้อยอยู่
เพราะจริงๆแล้วภาวะของจิตนั้นไม่มีการนับอายุเนื่องจากเกิดดับเป็นคราวๆ ไป แต่บางครั้งสรรพนามเช่นนี้มักมาหาเรา ก่อนที่เราจะรู้ตัวจริงๆก็มี
กลับมาเล่าให้ลูกสาวฟัง กลับถูกพูดเยาะเย้ยแล้วบอกทำนองว่าพ่อไม่รู้เหรอ ว่าหน้าพ่อนั้นมันฟ้องว่าควรเรียกปู่มาตั้งนานแล้ว
เล่นเอากินข้าวไม่อร่อยไปหลายมื้อ เสีย Self ไปหลายวัน!
ครับ กลับมาหาเรื่องที่จะเล่าในอาทิตย์นี้ดีกว่า มีเรื่องเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศเข้ามาหลายคณะ คณะแรกที่มาเยี่ยมในวันพุธที่ผ่านมา คือคณะผู้บริหารของ Guilin University of Technology นำโดยท่านเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ (การบริหารของประเทศจีนเลขาธิการพรรคจะใหญ่กว่าอธิการบดี เพราะเป็นคนคุมนโยบายเหมือนรัฐมนตรี) มาแวะเยี่ยมคารวะท่านอธิการบดี พร้อมแจ้งความประสงค์ว่าอยากทำข้อตกลงในเรื่องแลกเปลี่ยนอาจารย์และนักศึกษา
เนื่องจากเมื่อปีก่อนท่านอยู่ที่มหาวิทยาลัยกว่างซีนอร์ม่อน เคยนำคณะนาฎศิลป์จีนมาแสดงที่เราแล้วเห็นศักยภาพของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ในปีหน้าจะเปิดการสอนภาษาไทยจึงอยากมาทำความสัมพันธ์ไว้ก่อน
ถัดมาอีกสองวันมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี ก็มาเยี่ยมคารวะอธิการบดีและนิเทศนักศึกษา นำทีมโดยท่านเลขาธิการพรรคมณฑลกว่างซี ซึ่งตำแหน่งท่านก็ใหญ่มากเช่นกันและคุ้นเคยสนิทสนมกับท่านอธิการบดีและผมมาก่อน เนื่องจากเราเคยไปเยี่ยมที่กว่างซีเมื่อปีก่อน
คราวนั้นท่านเลขาธิการพรรคให้การต้อนรับอย่างดีเลี้ยงรับรองยกแก้ว “กันเปย” ไปหลายรอบ และจัดการแสดงที่เป็นประเพณีแต่งงานแบบชนเผ่าให้ชม แถมนักแสดงยังลากผมออกไปเป็นเจ้าบ่าว(ตัวปลอม)ร่วมแสดงด้วย มาคราวนี้ท่านยังพูดเย้าผมว่าลืมพาเจ้าสาวที่เคยจัดงานแต่งงานให้ตามพิธีของชนเผ่าชาวเขาจีนในงานเลี้ยงต้อนรับมาด้วย
ผมจึงตอบไปว่า มิกล้า... มิกล้ารับ
เพราะเพียงแค่ที่บ้านเห็นรูปถ่าย ผมยังต้องอธิบายความกันยืดยาวอยู่หลายวัน
หลังจากนั้น จึงเจรจาตกลงเรื่องการขยายฐานการแลกเปลี่ยนโดยทางกว่างซีอยากจะขยายไปด้านบริหารธุรกิจและทางเราก็เจรจาในเรื่องขยายข้อตกลงในเรื่องการทำหลักสูตรร่วม สองบวกสอง โดยคาดว่าจะเริ่มในปีการศึกษาหน้า ซึ่งทางกว่างซีก็ยินดี เพราะเขามีหลักสูตรที่ว่านี้กับราชภัฏสวนดุสิตอยู่แล้ว คงจะทำสำเร็จได้เร็วเสร็จจากการเจรจา
ผมพาไปเยี่ยมนักศึกษาจีน ซึ่งในวันนั้นเป็นวันไหว้ครูของโปรแกรมวิชาภาษาไทยอยู่พอดี หลังจากแนะนำผู้บริหารเสร็จให้โอกาสพูดคุยกับนึกศึกษาทั้งจีนและไทย ผมจึงจัดรายการพิเศษให้แปลกใจ จึงออกไปกล่าวต้อนรับว่าเป็นวันมงคลของนักศึกษาที่ประกอบพิธีไหว้ครูแสดงความกตัญญูกตเวธิตาธรรมให้ ทั้งประเพณีของไทยและจีนนั้นต่างก็ยึดถือธรรมเนียมเคร่งครัดในเรื่องความกตัญญูโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อแม่ครูอาจารย์ และในวันนี้คณะคุณครูจีนได้บินมาถึงที่นี้แล้ว ขอเชิญตัวแทนนักศึกษาจีนมาทำพิธีไหว้ครูของตนได้ ณ บัดนี้
ตัวแทนนักศึกษาจีนจากมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี จึงคลานต้วมเตี้ยมออกมาสี่คนทั้งชายหญิง น้อมเอาพานธูปเทียนและดอกไม้ไปกราบท่านเลขาธิการพรรคฯและคณะที่มีรองอธิการบดี คณบดีและอาจารย์ที่ติดตามมา แม้จะดูว่ากราบเก้งก้างไปบ้าง
แต่ก็ทำให้คณะผู้บริหารของจีนนั่งซึมไปพักใหญ่และลูกศิษย์ชาวจีนน้ำตาคลอเบ้าไปหลายคน
ในช่วงนี้สังเกตว่า โครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศคึกคักขึ้น หลายๆประเทศออกตระเวนหากลุ่มเป้าหมายมาเพิ่มยอดจำนวนนักศึกษาของตน ของเราคงต้องขยับตัวไปหาลูกศิษย์เพิ่มเติมอีก ประเทศที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย น่าจะเป็นประเทศในกลุ่มเอเชีย เช่น เวียตนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชียและเกาหลี ที่พอจะมีอนาคตอันใกล้สนใจทำธุรกิจกับประเทศไทยเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเกาหลีซึ่งน่าจะมีอนาคตอันสดใส
เอาไว้คราวหน้าจะเล่าดีกว่าครับ
ฮิ ๆ ๆ แปะรูป "งานแต่งงาน" ด่วนเลยค่ะอาจารย์ หนูอยากเห็นหน้ารูปเจ้าบ่าวในชุดพื้นเมือง แหม...ทีอย่างนี้ไม่เรียกหนูช่วยเป็นพิธีกรภาคภาษาอังกฤษ ฮุ ฮุ ฮุ (เสียงหัวเราะในลำคอ)
เรื่องเล่าหนนี้มีหลายรสจังค่ะอาจารย์ คล้าย ๆ กับจะมีทั้งเกิด แก่ เจ็บ ตาย มิน่าป้ายคำหลักถึงมี มรณานุสติ ปิดท้ายไว้ด้วย
หนูชอบที่อาจารย์ให้เด็กจีนไหว้ครูน่ะค่ะ ฟังแล้วซึ้งไปด้วย วันหลังถ้าอาจารย์ญี่ปุ่นไปเยี่ยม ลองให้เด็กญี่ปุ่นไหว้ครูมั่งซี่คะ หนูว่าความเคารพผู้ใหญ่และอ่อนน้อมถ่อมตนของเด็กญีปุ่นและไทยนั้นคล้าย ๆ กันนะคะ คือเวลาสื่อสารแล้วจะออกมาทั้งโทนเสียง ภาษาร่างกาย สีหน้า และแววตา มันออกมาหมดเลยค่ะ ความนอบน้อม สุภาพต่อผู้ใหญ่นี่น่ะค่ะ
คือทั้งเด็กหนุ่มเด็กสาวจะเปลี่ยนเสียงเป็นโทนนุ่มนวลและค้อมหลังเล็กน้อยแบบสุภาพ ห่อไหล่นิดนึง และแววตาอ่อนโยน แสดงความเคารพกันทุกคนเวลาคุยกับผู้สูงอายุ น่ะนะคะ กับครูบาอาจารย์ก็อาจจะคล้าย ๆ กัน แต่แววตาอาจจะเป็นเคารพกึ่ง ๆ กลัวเฉย ๆ (ถ้าครูดุและเฮี้ยบ)
เรื่องเล่าของอาจารย์ทำให้หนูนึกถึงเรื่องความนอบน้อมของเด็กญี่ปุ่นที่หนูไปเห็นโดยบังเอิยแล้วอยากเก็บมาเล่าเหมือนกันอีกเรื่องหนึ่งซึ่งสอนใจดีมาก ไว้วันหลังต้องทยอย ๆ ขุดมาเล่าบ้างแล้ว
ความจริงอาจารย์เหมือนคุณตาก็เพราะไม้เท้านั่นแหละค่ะ หนูว่า ฮิ ๆ ก็ดีในแง่เป็นมรณานุสติ ถ้าจะหาอุบายทำให้ใจสดชื่นชั่วคราวก็บอกตัวเองว่าเขาคงเรียกว่า "คุณอา" น่ะค่ะอาจารย์ ไม่ใช่ "คุณตา" ฮิ ๆ ค่อยฟังดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาหน่อย
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
สวัสดีค่ะ อาจารย์,
หนูกลับถึงกรุงเทพแล้ว สลบไปหนึ่งวัน หนึ่งคืน เต็ม ๆ เพราะจากหนาวจัด มาเจอร้อน ถึงแม้คนแถวนี้จะอ้างว่าตอนนี้ที่กรุงเทพอากาศถือว่าเย็น ๆ แล้วก็ตาม
เครื่องที่หนูบินกลับมาความจริงเขาบินถึงเชียงใหม่เลยค่ะ ป้ายที่สนามบินนาริตะน่ะเขียนว่าเชียงใหม่ด้วยซ้ำ โดยบินผ่านกรุงเทพ แหม...เก๋เสียไม่มี คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ในเครื่องหนูเขาบินตรงเชียงใหม่กันทั้งนั้น (ได้ยินเขาเช็คกระเป๋ายาวไปถึงเชียงใหม่กันเลยน่ะค่ะ) ทำเอาหนูอยากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตามไปกับเขาต่อเลยด้วยจัง ไม่ต้องกล่ง ไม่ต้องกลับแล้วบ้านน่ะ ฮิ ๆ
กลับมาแล้วต้องรีบเขียนรายงานส่งญี่ปุ่นและสภาวิจัยของไทยภายใน ๑ เดือน เสร็จแล้วหนูถึงจะขึ้นไปปฏิบัติเชียงใหม่ได้ค่ะ เดือนกพ. นี้ หวังว่าคงได้เจออาจารย์นะคะ
ระหว่างนี้ด้วยความเบื่อหนอ จิตอยากเสวยอารมณ์ใหม่ ๆ หนูก็คันมือ คันไม้ ไปเปลี่ยนหน้าตาบล๊อกหนูอีกแล้ว แต่ยังดูพิกล ๆ อยู่ ภาษา css นี้หนูยังไม่ค่อยถนัดเท่า html ก็ยังต้องคลำ ๆ ต่อไปค่ะ ส่วนความสามารถด้านศิลปะก็ยังคงออกแนวตลกปนเศร้าเหมือนเดิม เพราะจำได้แม่นว่าตอนอยู่ป.๕ ครูวิชาวาดเขียนให้คะแนนหนู ๒ ส่วน ๑๐ เพราะหนูวาดแรเงาไม่เหมือนใคร คือไม่อยู่ในกรอบ แล้วก็ไปอยู่คนละข้างกับคนอื่นเขาด้วย สรุปว่าไม่มีแววอย่างแรงตั้งแต่เด็ก ก็เลยฝังใจถึงทุกวันนี้ค่ะ แหะ ๆ
ก็ตอนนั้นไม่มีใครตอบหนูได้นี่คะว่าทำไมทุกคนต้องระบายอยู่ที่เดียวกันหมดแล้วต้องอยู่ในกรอบด้วย ฮิ ๆ ถ้าตอนนี้ก็คงจะพอเดา ๆ ได้แล้วว่าตอนนั้นไม่รู้จักกำหนดว่าทุกข์มาบีบคั้นจนทนไม่ไหวเลยต้องหาที่ "ระบายออก" ไป "นอกกรอบ" ฮิ ๆ ๆ เลยได้ดาวดำมาอยู่คนเดียวเลย เฮ้อ แหม....หารู้ไม่ หนูน่ะแววปิกัสโซ่ออกตั้งแต่เด็กเลย ฮิ ๆ ๆ
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
และได้ตกแต่งแพลนเน็ต "ชีวิต คือการเรียนรู้"ใหม่นิดหน่อยด้วยค่ะอาจารย์ คือได้ลองอัญเชิญรูปหลวงพ่อโต ไดบุทสุ ที่คามาคูระ มาใส่ข้างบน ก็ลองไปเรื่อย ๆ น่ะค่ะ
ณัชร
อ้าว! ทำไมโลกจึงหมุนเร็วอย่างนี้หนอ
แพล็บเดียวหนูกลับมาถึงบ้านแล้ว
มาพร้อมกับวิชาซามูไรและความรู้ประสบการณ์ชีวิต ที่เพิ่มมุมมองใหม่ให้กับตนเอง
ภาษาเชียงใหม่เรียกว่า ความรู้"กั๋ดปุ๋ม"
หมายถึงแน่นพุงนะ
อย่าคิดว่าอาจารย์หมายถึง reality phisical body
เป็นอุปมาอุปมัยจ๊ะ
ปล.รูปถ่ายกำลังค้นอยู่ สงสัยว่าจะหายไปตอนไวรัสเล่นงาน
ฮือ ๆ ความรู้น่ะไม่ "กั๋ดปุ๋ม" แต่ว่า ปุ๋ม น่ะ กั๋ด มาจากโตเกียวเลยล่ะค่ะ อาจารย์ ไม่ใช่อุปมาอุปไมยหรอกค่ะ เรียกว่า "ใช่เลย" ราวกับว่าอาจารย์มีญาณหยั่งรู้
ตอนอาจารย์ที่ปรึกษาหนูที่ญี่ปุ่นท่านชวนไปทานข้าวที่บ้านเป็นการเลี้ยงส่งกลับ ท่านดูโล่งอกโล่งใจมากที่เห็นหนูเลี้ยงง่าย กินได้ กินดี กินทุกอย่าง ไม่มีปัญหา อ้วนท้วนสมบูรณ์ ตุ้ยนุ้ยกลับประเทศ ท่านบอกว่าดีแล้ว เป็นสัญลักษณ์ว่ามีความสุข ทางเมืองไทยเขาจะได้ว่าทางญี่ปุ่นดูแลดี
ขอบคุณค่ะ อาจารย์ เรื่องบล๊อก หนูก็หัดทำพอให้หายเบื่อ แล้วก็จะคอยดูใจตัวเองว่าเมื่อไหร่มันจะเบื่อใหม่อีกที
สวัสดีค่ะ,
ณัชร