โครงสร้างการบริหารมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
มีลักษณะดังแผนภูมิข้างล่างนี้
ปีก 2
ข้าง ที่โยงจากท่านอธิการบดี คือ คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย
และคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัย
ความจริงต่างกันเพียงชื่อ
แต่องค์ประกอบเหมือนกันทุกประการ กล่าวคือมี
- อธิการบดี เป็นประธาน
- รองอธิการบดี คณบดี ผอ.วิทยาลัย/สถาบัน/สำนัก ทุกคน
เป็นกรรมการ
- ประธานสภาอาจารย์ เป็นกรรมการ
การมี และ
หน้าที่ ของคณะกรรมการทั้งสองชุดดังกล่าว
ไม่ได้กำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.มน. (ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน) เลย
ส่วนในทางปฏิบัติ การประชุมของคณะกรรมการทั้งสองชุด กระทำทุกเดือน
และประชุมต่อเนื่องกัน เรื่องพิจารณาของคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการบริหารจัดการทั่วไปและการบริหารวิชาการ สำหรับเรื่องพิจารณาของคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัย
ก็เป็นไปตามชื่อคณะกรรมการ ซึ่งรวมทั้ง 2 ชุด
ก็มีเรื่องที่ต้องคุยกันค่อนข้างมาก
ดิฉันดีใจที่ว่า ร่าง พ.ร.บ.มน.ฉบับ ม.ในกำกับ ได้กำหนดไว้ใน
มาตรา 21 ว่า ให้มี คณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัย
ด้วย
ชื่อกรรมการชุดนี้ ฟังดูแล้วคุ้นๆ
เพราะเหมือนล้อกับการบริหารงานระดับคณะวิชา ซึ่งกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.
ว่าจะต้องมีคณะกรรมการประจำคณะ
ในมาตรา
21 ของ ร่าง พ.ร.บ.มน.ฉบับ ม.ในกำกับ ระบุว่า
ให้มีคณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัยประกอบด้วย
- ประธานกรรมการ ได้แก่ อธิการบดี
- กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ รองอธิการบดี
ผู้ดำรงตำแหน่งที่เทียบเท่ารองอธิการบดี และประธานสภาพนักงาน
- กรรมการซึ่งสรรหาจากคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยที่มีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไปจากต่างสถาบันจำนวนไม่เกินสามคน
ให้อธิการบดีแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัย
สิ่งที่น่าสังเกต ก็คือ องค์ประกอบข้อ 1 และข้อ 2
ไม่ต่างไปจากองค์ประกอบของ กรรมการบริหาร และ กบม. เดิม
ยกเว้น
องค์ประกอบในข้อ 3 ของคณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัย มีองค์ประกอบพิเศษ
เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยที่มีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไปจากต่างสถาบันจำนวนไม่เกินสามคน
ข้อสัณนิษฐานของดิฉันเองถึงที่มาของคณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัย
และสาเหตุที่ต้องเพิ่มองค์ประกอบพิเศษ ข้อ 3 ดังกล่าวข้างต้น
คือ
- ไหนๆ คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย
และคณะกรรมการบริหารงานบุคคลประจำมหาวิทยาลัย
ก็เป็นชุดเดียวกันอยู่แล้ว ก็จับรวมกันเป็นชื่อเดียวเสียเลย คือ
คณะกรรมการประจำมหาวิทยาลัย จะได้บริหารจัดการได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มกรรมการที่มี ตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไป
เข้ามาอีก
เพราะต้องการให้ความสำคัญกับการบริหารวิชาการให้มากขึ้น
- ที่ต้องระบุว่าเป็น รองศาสตราจารย์ เพราะต้องการให้เป็นผู้ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ด้านวิชาการ
จะได้ช่วยให้ความเห็นในการบริหารวิชาการได้
- ที่คัดเอาเฉพาะ ตั้งแต่รองศาสตราจารย์ ขึ้นไป
เพื่อจะได้มีตัวเลือกได้มากหน่อย
- ที่ต้องคัดมาจากต่างสถาบัน เพื่อจะได้มีความหลากหลายในมุมมอง
ทัศนะ และข้อคิดเห็นที่กว้างขวางขึ้น
- ที่ต้องมีจำนวนไม่เกิน 3 คน เพราะ
มน. มีกลุ่มสาขาวิชาใหญ่ๆ อยู่ 3 สาขา คือ
สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
และสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
อย่างไรก็ตาม
โดยความคิดเห็นส่วนตัวอีกเช่นกัน ดิฉันเห็นว่า
- ถ้าข้อสัณนิษฐานของดิฉันถูกต้องว่าการให้มี คณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยที่มีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่รองศาสตราจารย์ขึ้นไปจากต่างสถาบันจำนวนไม่เกินสามคน
เข้ามาเป็นกรรมการประจำมหาวิทยาลัย เป็นไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้น
และเข้มแข็งในการบริหารวิชาการ ละก็
ดิฉันก็เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเจตนาดังกล่าว
- แต่....อย่างที่ดิฉันเรียนมาแต่ต้นว่า
การประชุมของกรรมการประจำมหาวิทยาลัย จะกระทำเป็นประจำทุกเดือน
และอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กรรมการจากภายนอกสถาบันดังกล่าว
จะต้องเป็นผู้ที่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ทุกครั้ง ซึ่งต้องได้รับการคัดเลือกและรับปากรับคำกันมาอย่างดีว่าจะทำตามหน้าที่ที่ระบุ
- ถ้าเป็นไปได้ ดิฉันอยากจะให้เป็นระดับศาสตราจารย์เสียเลย เพราะการคัดเลือกจากต่างสถาบัน
ทำให้มีตัวเลือกได้มากอยู่แล้ว
- อีกทางเลือกหนึ่ง...... ในกรณีของสถาบันเกิดใหม่อย่าง มน.
ที่แม้จะยังมีศาสตราจารย์อยู่จำนวนไม่มากพอให้เป็นตัวเลือก
แต่ถ้าระดับ รศ. น่าจะพอมีให้เลือกได้ แม้ว่า
ความจัดเจนในด้านบริหารวิชาการอาจไม่สูงนัก แต่ข้อดี คือ
- มีความเข้าใจในบริบทของ
มน.
- มีเวลา
(เพราะอยู่ที่เดียวกัน) และ
- เป็นวิธีการหนึ่งของการทำให้บุคลากรภายในของ
มน. เอง ได้มีโอกาสสั่งสมประสบการณ์ด้านการเป็นผู้บริหาร
จากการเป็นกรรมการประจำมหาวิทยาลัย
- ดิฉันอยากให้ระบุให้ชัดเจนไปเลยว่า กรรมการจำนวนไม่เกิน 3 คน
ในข้อ 3 ของ ร่าง พ.ร.บ.
ข้างต้น ต้องมาจาก สาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
สาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
อย่างละ 1 คน ให้ชัดเจนไปเลย
เรียนย้ำอีกครั้งนะคะว่า ทั้งหมดที่เรียนเสนอ อาจผิดก็ได้
เพราะดิฉันสัณนิษฐานเอาเอง เสนอแนะจากข้อสัณนิษฐานของตนเอง
เรียกว่า คิดเอง เออเอง ทั้งน้านน...