มือและเท้าของผู้ใดถูกความแก่ชราเข้าไปจัดการเสียแล้ว
ผู้นั้นหรือจะประพฤติธรรมอันใดได้
จากภาษิตข้างต้น ให้นึกถึงแม่ชีที่ผู้เขียนเคารพท่านหนึ่ง ท่านบอกให้ทราบว่า ทุกวันนี้เดินไปไหนไกลจากที่นอนไม่ได้แล้ว หน้ามืดตามัว จะไปวัดเพื่อทำบุญบริจาคทานก็ไปไม่ได้ (นุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลอยู่ที่บ้าน) เห็นพระเดินผ่านหน้าบ้านก็ทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงอนุโมทนาในใจ ยังดีนิดหนึ่งที่ลูกซื้อวิทยุมาให้ ได้เปิดฟังพระเทศน์ ฟังพระสวดมนต์ตอนเช้า (สิ่งดีๆของพระมีอยู่มากหากพิจารณาให้ถ้วนถี่)
สิ่งดังกล่าวนี้เป็นเครื่องเตือนสติสำหรับผู้ที่อยู่วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน เราทุ่มเทให้กับงาน ให้กับคนรอบข้าง ให้กับสิ่งเพลิดเพลินต่างๆ นานา หากเราพิจารณาโดยละเอียดจะพบว่า สิ่งเพลิดเพลินเหล่านั้นมันกดทับความสงบเย็นและขจัดความสงบเย็นภายในของเราไป แต่นั่นแหละตราบใดที่เราไม่ได้หยิบก้อนไฟเราก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าไฟนั้นมีความรุนแรงเพียงใด ในทางตรงกันข้าม แม้ใครจะบอกว่าอากาศที่เชียงใหม่เย็นมาก หากเรายังไม่ได้ไปเชียงใหม่ช่วงอากาศเย็น เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าอากาศที่เขาว่านั้นเย็นเพียงใด
ท่ามกลางแสง สี เสียง ความสวยงามตระการตาที่คนด้วยกันเองสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นหลุมพรางให้เราเดินไปเล่นอย่างสนุกสนานนั้น เวลาค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ บางคนกว่าจะรู้สึกตัวก็ไม่สามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้อีกแล้ว ที่เหลือคือนั่งซบเซาดูลูกหลานเดินออกจากบ้านทีละคนสองคน ครั้นหวนคิดจะไปสร้างสิ่งดีๆให้กับใครเขา มือและเท้าหมดกำลังเสียแล้ว คงเหลือแต่เพียงความตายที่ค่อยคืบคลานเข้ามา เมื่อถึงคราวต้องสิ้นลมก็กลัวนักกลัวหน้าในเมื่อเสบียงที่จะจัดเตรียมไว้นั้นไม่มีเอาซะเลย เคยเรียนแต่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การจัดการบุคคล(อื่น) มาบัดนี้จะหันมาจัดการตัวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ถ้าเป็นอย่างนี้มีหรือจะนอนตายตาหลับ ในเมื่อหาที่พึ่งอันประเสริฐใดๆ ไม่ได้เลย
ตื่นเถิดลูกเอ๋ย ....................
*ให้รู้สึกละอายใจเหมือนกันครับ อันที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะเตือนใครหากแต่ผมเก็บไว้เตือนสติของผมน่ะครับ เพราะผมจะชอบมาอ่านบันทึกของผมว่า ผมคิดอะไรไปบ้างที่ผ่านมา
*ผมก็คิดเหมือนกันว่า ทำไมเราต้องมีลูกหรือมีครอบครัวก็ไม่รู้ (ก็ทุกคนเขามีนี่) ตกลงไม่รู้ว่าอะไรดีกว่ากันมากน้อยเพียงใด อย่างที่พี่ว่าแหละผมเห็นด้วย ถ้าไม่มีใครดูแล (ทำไมต้องให้ใครมาคอยดูแล) เราก็ต้องเข้มแข็งที่จะอยู่กับตัวเองให้ได้