ขั้นที่ 2 ประเมินว่าผู้ป่วยทราบมากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของตน
เป็นการประเมินว่าผู้ป่วยรับรู้หรือเข้าใจว่าตนเป็นอะไร และการเจ็บป่วยนี้มีผลต่ออนาคตอย่างไร
“คุณคิดว่าอะไรเป็นทำให้คุณมีอาการ ...”
“หมอคนก่อนที่เคยดูแลคุณ บอกว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง” … “แล้วคุณคิดอย่างไร”
ระหว่างนี้ควรสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของผู้ป่วยไปพร้อมกันด้วย โดยผู้ป่วยอาจจะแสดงออกได้ทั้งคำพูดและกิริยาท่าทาง
ขั้นที่ 3 ประเมินว่าผู้ป่วยต้องการทราบอะไรบ้าง
ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดในการแจ้งการวินิจฉัย ผู้ป่วยต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ต้องการทราบมากน้อยเท่าไร เพื่อแพทย์จะได้ทราบว่าควรให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยมากน้อยเพียงไร
การไม่ให้ข้อมูลอะไรเลยยิ่งทำให้ผู้ป่วยเป็นทุกข์มาก พบว่ามีเพียงร้อยละ 1 ของผู้ป่วยเท่านั้นที่ไม่ต้องการทราบว่าตนป่วยเป็นอะไร ผู้ป่วยอื่นนอกเหนือจากนี้พยายามใช้วิธีต่างๆ เพื่อหาข้อมูล เช่น ถามแพทย์เองโดยตรง ถามจากเจ้าหน้าที่อื่นที่ให้การดูแล ญาติ หรือคนอื่นๆ เพราะฉะนั้นการถามผู้ป่วยตรงๆ ว่าผู้ป่วยต้องการทราบอะไรบ้าง จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่พร้อมก็อาจจะมีการใช้กลไกทางจิตแบบ denial (ไม่รับว่าตนเองป่วยหนัก)
ตัวอย่าง คำพูดที่จะใช้ในการประเมินผู้ป่วย
“คุณอยากให้หมอบอกรายละเอียดของโรคที่คุณเป็นไหม”
“คนไข้บางคนก็อยากให้หมอบอกหมดทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับโรคของเขา บางคนก็ไม่ได้อยากรู้อะไรเท่าไร แค่หมอดูแลก็พอใจแล้ว คุณคิดว่าตัวเองเป็นแบบไหน”
“ถ้าโรคของคุณเกิดร้ายแรงขึ้นมา คุณอยากให้หมอบอกคุณไหม”
ถ้าผู้ป่วยยังไม่ต้องการทราบ ควรพูดเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสถามได้เสมอ เช่น “ถ้าคุณเปลี่ยนใจภายหลัง ก็สามารถถามหมอได้ทุกเวลา”
ผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการทราบการวินิจฉัยโรค แต่ต้องการทราบเพียงแค่แพทย์จะทำอะไรกับตัวเขา หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างในระหว่างนี้ ซึ่งเท่านั้นก็เพียงพอสำหรับแพทย์ที่จะให้ข้อมูลแก่ผู้ป่วยและดูแลรักษากันต่อ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ป่วยทราบการวินิจฉัยเสมอไป
ขอบคุณมากๆ ครับที่กรุณาแจ้งให้ทราบ ในฐานะผู้เขียนย่อมต้องดีใจยิ่ง ที่เรื่องของตนเองมีผู้เห็นคนค่า
"การสื่อสารกระแสหลัก ในศาสตร์บางชุดนั้น เน้นที่การเอาประโยชน์จากการไม่รู้เท่าทันการสื่อสารของคน แล้วก็สร้างสื่อมาครอบงำให้คนเชื่อ เน้นที่การเอา มิใช่การให้"
ใช่ครับ มันเป็นแนวโน้มของการศึกษายุคใหม่ที่น่ากลัว กลายเป็นว่าเราเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมทั้งศาสตร์แห่งการสื่อสาร เพื่อจะนำไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นความสำเร็จผ่านทางการแข่งขันฟาดฟัน โดยปรัชญาเช่นนี้คำว่าคุณธรรมจะมีน้ำหนักน้อยกว่าความสำเร็จ อาจารย์ได้อ่าน ประเด็นข่าว: คณบดีฝ่ายคัดเลือกนักศึกษาของ MIT ลาออกเพราะปลอมวุฒิการศึกษา หรือยังครับ อ่านแล้วสะท้อนใจนะครับ ผมเห็นด้วยกับ Bluebonnet ที่ว่า The curriculum didn't lend itself to build social conscious, but more on "survival of the fittest" which tends to focus on ends rather than means. พอถึงตอนนี้ไพล่ไปคิดถึงเรื่อง Rajhabhat Plian Pai ของอาจารย์ ผมชอบมากๆ เลย อ่านไปยิ้มไป นี่ขนาดอ่านหลายครั้งแล้วยังสนุกเลยนะครับเนี่ย