ผมเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกนี้ระหว่างร่วมประชุมคณะที่ปรึกษาอาวุโสของ รมต. สาธาณสุข เมื่อวันที่ ๔ ธค. ๔๙
มีการพูดกันเรื่องการเสนอออกกฎหมายหลายฉบับ และผมได้เรียนรู้ว่า การออกกฎหมายบางฉบับมีความละเอียดอ่อน หรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก
เช่นกฏหมายประกันภัยรถยนต์แก่บุคคลที่ ๓ ผลการวิจัยบอกว่าเงินที่เจ้าของรถยนต์จ่ายไป ไปตกแก่บริษัทประกัน เงินนี้กลับมาจ่ายกรณีเกิดอุบัติเหตุเพียง 40% อีก 40% บริษัทจ่ายเป็นค่าดำเนินการ ซึ่งส่วนหนึ่งจ่ายเป็นค่านายหน้าทำประกัน เรื่องนี้จึงเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของคนจำนวนมาก แม้จะไม่เท่าหวยบนดิน ก็น้องๆ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่นักการเมืองสกปรกกับนักธุรกิจประกันร่วมกันสร้างไว้ จึงต้องอาศัยจังหวะ แม้เราจะคิดว่ารัฐบาลนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องผลประโยชน์ของตนเอง แต่การประชุมวันนี้ก็สอนผมว่า การอยู่ในตำแหน่งสูงต้องมองให้ครบมุม เข้าใจผลประโยชน์ของคนให้ครบถ้วนรอบด้าน
เรื่องจังหวะดีนี้ในด้านกายภาพผมไม่มีจังหวะเลย ผมร้องเพลงไม่เป็น เต้นรำไม่เป็น เล่นดนตรีไม่เป็น
แต่ในด้านจังหวะชีวิต ผมดีพอควรนะครับ ผมเลือกตอบรับ ตอบปฏิเสธ โอกาสต่างๆ มามากมาย ซึ่งเท่ากับเลือกจังหวะชีวิตของตนเอง หลักในการเลือกของผมได้แก่
๑. ความชอบของตนเอง
๒. ความถนัดของตนเอง
๓. โอกาสทำประโยชน์แก่ส่วนรวม
๔. ต้องไม่ละความรับผิดชอบเดิมที่สัญญาไว้ ไปแสวงหาตำแหน่งใหม่ที่ค่าตอบแทนสูงกว่า
๕. ทีมงานที่เหมาะสม ดังกรณีผมเคยได้รับเสนอให้เป็นรองอธิการบดีคนที่ ๑ ให้แก่อธิการบดีที่เป็นหมอ ผมมองว่าเป็นทีมงานที่ไม่เสริมแรงกัน ไม่เหมาะ ควรจัดทีมที่มีความแตกต่างกันจะเป็นผลดีต่อมหาวิทยาลัยมากกว่า ผมจึงปฏิเสธตำแหน่งในคราวนั้น
ในการประชุมวันนี้ผมคิดจะเสนอเรื่องอีก ๒ ประเด็น แต่ด้วยคำนึงถึงจังหวะที่เหมาะสม ผมจึงไม่เสนอ
วิธีคิดที่ซับซ้อนทำให้คนเรามีจังหวะชีวิตที่ถูกจังหวะบ้าง ผิดจังหวะบ้าง และชีวิตของผมก็คงจะทำนองเดียวกัน
วิจารณ์ พานิช
๔ ธค. ๔๙
ไม่มีความเห็น