ภาพสาวญี่ปุ่นสามวัยแต่ใจตรงกัน :-) สามเจเนอเรชั่นในบ้านพร้อมใจกันมาถวายพระพรในเช้าวันที่ ๒ มค. ฉันขอเดาแบบไม่มีทางพลาดว่าต้องเป็นคุณยาย คุณแม่ แล้วก็คุณลูกสาว
ในสองตอนแรก ฉันได้เริ่มต้นด้วยการเล่าว่าเพราะเหตุใดฉันจึงคิดจะไปร่วมน้อมใจถวายพระพร องค์สมเด็จพระจักรพรรดิ เนื่องในโอกาสปีใหม่กับเขาด้วย และได้ต่อด้วยการเล่าบรรยากาศการเดินทางไป และกระบวนการเข้าไปในเขตพระราชฐาน ตลอดจนในส่วนของการเข้าเฝ้าจริง ๆ
ฉันปิดท้ายค้างไว้ว่า คนญี่ปุ่นพวกใดบ้างหนอ ทจะี่ยอมตื่นเช้าในวันหยุดประจำปีที่หาได้ยากเย็น และยังต้องฝ่าลมหนาวออกมา นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ และเดินเท้ามาจากบ้านช่องห้องหอของตัวเอง นับเป็นระยะทางอีกไม่ใช่น้อย ๆ เพียงเื่พื่อจะมาเปล่งเสียงถวายพระพรแล้วก็กลับบ้าน?
คำตอบที่ฉันได้รับ เมื่อฉันมองไปรอบ ๆ ก็คือ คนที่มีอายุหน่อยแล้วนั่นเอง คือ อย่างน้อยต้องสามสิบเยอะ ๆ หรือ สี่สิิบ ขึ้นไป หรือถ้าน้อยกว่านั้นก็มักจะเป็นลักษณะที่มากับครอบครัว เหมือนรูปที่ฉันไปแอบถ่ายครอบครัวสามสาวต่างวัยมาประกอบบล็อกฉันนี่ ต้องขอขอบคุณครอบครัวนิรนามดังกล่าวด้วย อะริกาโตะ โกซัยมัส!
และที่เป็นวัยเกษียณไปแล้ว ก็นับว่าไม่น้อย คนที่วัยเกษียณไปแล้ว มีทั้งมาคนเดียว มาเป็นคู่ มากับกลุ่มเพื่อน
สำหรับกลุ่มองค์กรที่มีลักษณะโดดเด่นออกมานั้น เช่น ลูกเสือชาวบ้าน (เขาท่าทางเป็นอย่างนั้นจริง ๆ) หรือ พวกเด็กโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน (เห็นมีเด็กหน้าญี่ปุ่นออกอินเตอร์ถือธงญี่ปุ่นและบราซิลคู่กันเดินต้อย ๆ ตามผุ้นำเยาวชนมากลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ในอเมริกาใต้จะมีคนญี่ปุ่นอพยพไปอยู่เยอะมากหลายประเทศ)
กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่น้อยเลยก็คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นฝรั่งชาติตะวันตก
ต่างคน ต่างวัย ต่างรูปแบบองค์กร ต่างที่มา ต่างถิ่น ก็ย่อมต่างวัตถุประสงค์ไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
ั
ฉันเองก็ไม่ได้เรียนจิตวิทยามา ที่จะพอวิเคราะห์ได้เป็นเรื่องเป็นราวว่า เขาเหล่านั้นมา "แสวงหา" อะไร ในการที่เขามาที่นี่ วันนี้
และการที่เขามาแล้ว เขาได้สิ่งนั้นกลับไปหรือไม่ ฉันก็ไม่ได้ไปยืนแจกแบบสอบถามเสียด้วย
แต่ดูจากสีหน้าของหลาย ๆ คน รวมทั้งหลายครอบครัวที่จับกลุ่มกันถ่ายรูปบริเวณสระน้ำรอบวังอย่างเช่นครอบครัวนี้ ฉันรู้สึกว่าเขามีความสุข
องค์สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ทรงเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจของประชาชนเหมือนในหลวงของเราส่วนหนึ่งเหมือนกัน ฉันวิเคราะห์เองเล่น ๆ ว่า ที่คนไปถวายพระพรท่าน ส่วนหนึีงเพราะเขาต้องการไป "connect" กับบางสิ่งบางอย่างที่เขามีอยู่ในใจเขา
จะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไรก็แล้วแต่ ความเป็น "ญี่ปุ่น" ความยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณี ความอนุรักษ์นิยม ความมั่นคงในจิตใจ (security) หรือแม้แต่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ที่เขานับถือ เพราะองค์จักรพรรดินั้น ตามหลักแล้วก็นับเป็นนักบวชลำดับสูงสุดของนิกายชินโตของประเทศด้วย คือ ทรงทำหน้าที่ทำพิธีกรรม พิธีการต่าง ๆ ให้ประเทศด้วยนั่นเอง
ฉันรู้สึกว่า การที่พวกเขาได้ไปทำหน้าที่ตะโกนร้องบันไซ ๆ ตรงนั้นแล้วมันทำให้เขาสบายใจ เพราะเขารู้สึกว่าเขามีบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน สังคมเขาเป็นปึกแผ่นมั่นคง มีสัญลักษณ์ของชาติี่ที่น่าภาคภูมิใจ เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ เขาอาจมองเห็นประว้ติศาสตร์อันยาวนานเก่าแก่ของชาติเขาอยู่ข้างหน้า เพราะราชวงศ์ของญี่ปุ่นราชวงศ์นี้้เก่าแก่ที่สุดในโลกถึงขั้นมีตำนานว่าจักรพรรดิองค์แรก เป็นหลานของเทพแห่งดวงอาทิตย์นู่นเลย (ฟังดูยาวนานมาก)
ก็นั่นแหละนะ มนุษย์เราก็ย่อมต้องการที่พึ่งทางใจ ไม่สิ่งใด ก็สิ่งหนึ่ง และองค์สมเด็จพระจักรพรรดิก็ทรงเป็นที่พึ่งทางใจให้กับคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าฉันจะเคยอ่านบทความจากบางที่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้ให้ความสนใจ สถาบันกษัตริย์เท่าใดแล้ว แต่จากที่ฉันเห็นคนไปวันนั้น ฉันก็คงต้องตอบว่ายังมีคนส่วนหนึ่งที่ให้ความสนใจมากอยู่ดี เพราะเขาก็มีรถบัส รถทัวร์เช่าเหมากันมาเป็นคันรถจากต่างจังหวัดมาจอดอยู่บริเวณรอบ ๆ พระราชวังอิมพีเรียลเหมือนกัน บรรยากาศเหมือนมาจอดรอบสนามหลวงมาก
และเนื่องจากต้องมีคนมาเยอะมากจริง ๆ ถึงต้องจัดให้เสด็จออกวันละหลายรอบ ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย เรียกว่าทรงงานหนักทีเดียว ฉันแอบกระซิบกับน้องที่ไปด้วยบอกว่าท่านทรงเสด็จออกเป็นรอบ ๆ นี่เหมือนละครบรอดเวย์เลยนะนี่ ทรงเหนื่อยแย่เลย ต้องมีพระราชดำรัสทุกรอบด้วย แต่ก็นั่นแหละนะ ประชาชนเขาก็มามากจริง ๆ และแออัดยัดเยียดไปหมด ลานเขาก็ไม่กว้างเท่าลานพระบรมรูปทรงม้าของเราด้วย จึงคงจำเป็นต้องทำให้เข้าไปวันละหลายรอบ
ฉันก็เห็นใจเขาเหมือนกัน อืมม...ญี่ปุ่นเขามีปัญหาเรื่องที่ดินคับแคบ ก็น่าเห็นใจอยู่ การจัดงานใหญ่อย่างนี้คงลำบาก จะให้ท่านไปเสด็จออกที่อื่นก็จะไม่เหมาะ ไม่ควร เพราะท่านไม่ใช่ทรงเป็นศิลปิน นักร้อง ที่จะให้ปีใหม่ไปเสด็จฯ ออกให้ประชาชนถวายพระพรที่บูโดกัน หรือสนามบอลที่เขาไว้แข่งบอลโลก
ตอนขากลับออกมา ฉันมองไปเห็นคุณย่า คุณยายแก่ ๆ กระย่องกระแย่งตั้งใจเดินสวนเข้าไปด้วยไม้เท้าบ้าง ลูกหลานจูงบ้าง เพื่อไปเข้าคิวจะเข้าไปรอถวายพระพรตอนเสด็จฯ ออกในรอบถัดไปแล้ว ทำให้ฉันนึกถึงภาพคนเฒ่าคนแก่เมืองไทยกับลูกหลานอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากกันเลย
ทำให้ฉันนึกต่อไปอีกว่า คนไทยกับคนญี่ปุ่นนั้น จะว่าไปแล้ว ในพื้นฐานด้านจิตใจ ความเป็นอยู่ นิสัยใจคอ ครอบครัว นั้น มีอะไรที่คล้ายกันมากเหลือเกิน และไม่ใช่เพียงแต่ฉันเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ แต่อาจารย์ของฉันท่านก็เคยเขียนไว้ในบล็อกเมื่อท่านเล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านเคยไปเยือนญี่ปุ่น
และไม่ต้องอะไรเลย แม้นกระทั่งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นองค์ที่แล้ว คือ จักรพรรดิฮิโรฮิโต (แต่ที่นี่เขาจะเรียกกันว่า จักรพรรดิโชวา) ท่านก็ยังเคยทรงตั้งข้อสังเกตไว้เช่นนี้ ในกระแสพระราชดำรัสต้อนรับในหลวงของเรา เมื่อครั้งในหลวงเสด็จเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะ เมื่อประมาณปี ๑๙๖๐ เห็นจะได้? ฉันก็ไม่แน่ใจ ทราบแต่ว่าองค์สมเด็จพระจักรพรรดิโชวาเสด็จเยือนไทยเมื่อปี ๑๙๖๔
ตอนนั้นฉันได้ดูภาพยนตร์สารคดีเรื่องในหลวงเสด็จญี่ปุ่นนี่แหละ เพิ่งได้ดูที่เมืองไทยก่อนมานี่ไม่นาน จำได้ว่าตอนนั้นก็เพิ่งกลับจากทริปสั้น ๆ มาดูมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นและไปงานเทศกาลซามูไรมา ตอนนั้นก็นึกอยู่เหมือนกันแล้วว่า จิตใจคนญี่ปุ่นนั้นใกล้เคียงคนไทยมาก กำลังนอนตีพุงดูสารคดีเพลิน ๆ พอได้ยินคำแปลกระแสพระราชดำรัสเท่านั้นกระโดดผลุงลุกขึ้นนั่งเลย เพราะตรงใจฉันจริง ๆ
องค์สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ก่อนท่านทรงกล่าวต้อนรับในหลวงได้ไพเราะแต่กระชับและงดงามมาก ท่านทรงกล่าวว่า ท่านทรงมีความยินดีเหลือเกินที่ได้ต้อนรับในหลวงและสมเด็จ เพราะประเทศญี่ปุ่นและไทยนั้นก็มีความสัมพันธ์กันมาช้านานหลายร้อยปีแล้ว และนอกจากนั้น ก็ยังมีประวัติศาสตร์อะไรร่วมกันอีกหลายอย่าง ที่สำคัญที่สุดก็คือประชาชนมีจิตใจที่เหมือนกัน ฉันสะดุ้งโหยงเลย ไม่นึกว่าสิ่งที่ฉันคิดมาตลอดนั้น จะเป็นสิ่งที่อยู่ใน speech องค์สมเด็จพระจักรพรรดิองค์ที่แล้วตั้งแต่ก่อนฉันเกิดอีก
มาถึงวันนี้ ฉันเพิ่งกลับจากการไปมีประสบการณ์ร่วมกับเพื่อนร่วมทวีปของฉันมา ในการกล่าวถวายพระพรให้กับองค์พระประมุขของเขา ด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบพอกัน อาจจะเป็นเพราะฉันคิดถึงในหลวงด้วย แต่ก็นั่นแหละ เมื่อมีการได้ไปสร้า่งกุศลคุณงามความดีที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใด ภาษาใด จิตก็ย่อมสัมผัสได้ด้วยความรู้ัสึกเดียวกัน
ในวันนั้น องค์สมเด็จพระจักรพรรดิทรงเสด็จฯ ออกมาพระราชทานพรให้กับพสกนิกรของท่านและชาวโลกทั้งมวล และประชาชนที่เข้าไปก็น้อมใจถวายพระพร ส่งความปรารถนาดีให้กับท่าน การที่คนเราส่งความปรารถนาดีให้แก่กันนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่สัมผัสกันได้ ไม่แบ่งเชื้อชาติ และชนชั้น หรือแม้นแต่กาลเวลาอยู่แล้ว สิ่งใดที่เคยมีใครปรารถนาดีให้แก่เรา และได้เคยทำอะไรให้กับเราไว้ หากเราได้ระลึกถึงสิ่งที่เขาทำให้เืมื่อใด เมื่อนั้นเราก็ย่อมจะรับรู้ถึงความปรารถนาดีนั้นได้ทุกเมื่อ และเกิดความรู้สึกดี ๆ ตอบสนองขึ้นมาด้วย ไม่ว่ากาลเวลานั้นจะผ่านเลยไปนานแล้วแค่ไหนก็ตาม....
หงส์สีขาวตัวสง่าที่ลำน้ำหน้าพระราชวังอิมพีเรียลผงกหัวของมันทีหนึ่ง ราวกับจะแสดงอาการรับรู้คำรำพึงในใจของฉัน ก่อนจะเบนทิศว่ายหันกลับไปยังเขตพระราชฐานชั้นในอย่างแช่มช้า...
เอ!? อาจารย์ว่าเป็นหงส์ตัวเดียวกันที่อาจารย์เคยเห็นน่า แล้วจะเอารูปมาให้ดู
อ่านที่หนูเขียนแล้วซาบซึ้งหวนระลึกถึงตอนที่ในหลวงทรงเสด็จออกพระที่นั่งสีหบัญชร
ทั้งชาวไทยและชาวเทศต่างปลื้มปีติรู้สึกซาบซึ้งในพระบารมี คงเป็นความรู้สึกคล้ายกันกับหนูแน่ๆ
พิชัย
เหรอคะ? หนูจะรอดูรูปหงส์ของอาจารย์นะคะ ตัวนี้หยิ่งมากค่ะ ฮิ ๆ แต่ก็รู้งาน เธอลอยมาฝั่งที่พสกนิกรมากระจุกกันเพื่อจะถ่ายรูปกับวิวพระราชวังอิมพีเรียลนี้
พอเธอทำหน้าที่พรีเซ้นเตอร์ ลอยไป ลอยมา สักพัก
เธอก็คงเบื่อค่ะ ผงกหัวทีหนึ่งเหมือนจะบอกว่าพอละนะ
ฉันไปล่ะ แล้วก็ค่อย ๆ ว่ายลอยไป แหม...ช่างเป็นห๊งส์ เป็นหงส์ดีจริง ๆ เลยค่ะ ฮิ ๆ
ตอนในหลวงเสด็จฯ ออกสีหบัญชร หนูว่าซาบซึ้งกว่ามากน่ะค่ะ คืออารมณ์คล้าย ๆ ก็คงคล้าย แต่ scale ของเรายิ่งใหญ่กว่ามาก ไม่ใช่ในแค่คน หรือ ในแง่เหลืองหมดนะคะ แต่หนูว่าในหลวงท่านทรงครองราชย์๋มานานกว่าท่านทรงมีเวลาสร้าง
กุศลศีลทานภาวนาบารมีมาเต็มรอบ เต็มที่กว่าองค์พระจักรพรรดินั่นเองค่ะ หนูว่าสิ่งที่คนบางคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงน้ำตาคลอกันเวลาเห็น
ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์นั้นก็ํเป็นเพราะจิตเราสัมผัสได้ถึงมหากุศลของท่านนั่นเองค่ะ
หนูว่าปิติมันเกิดจากตรงนั้น มันออกมาจากข้างในลึกมาก พอท่านโบกพระหัตถ์ให้ก็เหมือนท่านทรงแผ่พระเมตตาบารมีมาให้
แล้วด้วยกำลังมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ของในหลวงเรานี่ก็เลยทำให้คนไทยเรา
ทุกคนที่ีได้เห็นสัมผัสได้หมดเลยไงคะ นี่หนูก็นั่งวิเคราะห์เอาเองน่ะนะคะ เพราะหนูก็น้ำตาไหลชนิดกำหนดไม่อยู่เหมือนกันค่ะ
ของที่นี่เท่าที่เห็นไม่มีใครถึงขั้นน้ำตาไหล หรือ น้ำตาคลอน่ะนะคะ แต่หนูก็ไม่ได้ไปจ้องหน้าใครเขาเท่าไหร่ แหะ ๆ แต่ที่หนูซาบซึ้งประทับใจมากจากที่เห็นด้วยตาเปล่าก็คือ
การโค้งคำนับรับการถวายพระพรขององค์สมเด็จพระจักรพรรดินี
ที่หนูเขียนไว้ในบล็อกตอน ๒ น่ะค่ะอาจารย์ โอ้โฮ อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยค่ะ หนูว่าคุณธรรมความนอบน้อม (มทวะ ใช่ไหมคะ?) นี่ เป็นอะไรที่สวยงามยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ บอกไม่ถูกเลยค่ะ สง่าเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ออกจะโ้ค้งต่ำอย่างนอบน้อมถ่อมตนทั้ง ๆ ที่เป็นถึงองค์พระจักรพรรดินีนี่แหละค่ะ ได้เห็นแค่นี้ก็รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมากเหลือเกินค่ะอาจารย์