ผมก็ได้รับจากลูกศิษย์และคนคุ้นเคยบ้างเป็นธรรมดามาทุกปี
ทั้งที่เป็นเสียงโทรศัพท์ ฝากข้อความ การ์ด ของขวัญ และคำอวยพรต่างๆ
แต่โดยนิสัยของตัวผมเอง ผมจะไม่ค่อยดำเนินกิจกรรมเชิงรุกในด้านนี้ เป็นฝ่ายรับเสียมากกว่า
ผมเลยมานั่งคิดว่า
ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนะ ถูกต้องเหมาะสมกับสังคมไทย
ผมเลยมานั่งย้อนคิดว่า ของขวัญ คือ อะไร
ของ = วัตถุ วัสดุ
ขวัญ= จิตใจ กำลังใจ จิตวิญญาณ
แล้ว ของขวัญ ก็น่าจะแปลว่า วัตถุที่ทำให้เกิดสิ่งที่ดีทางจิตใจ กำลังใจ
ผมก็มานั่งทบทวนต่อว่า แล้ว “ของ” ที่จะทำให้เกิด “ขวัญ” น่าจะเป็นอะไร
ทำให้ผมต้อง ย้อนกลับไปคิดถึง วันที่ผมไปช่วยพี่ชายขนของ เมือกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านซึ่งมี “ของ” ที่ขนจำนวนหนึ่ง เป็น “ของขวัญ” ที่ยังไม่ได้แกะกล่อง
เรียกว่า เต็มบ้าน และ “ไม่ได้ใช้” สักเท่าไหร่
แสดงว่า พี่ชายและพี่สะใภ้ของผมต้องเป็นคนที่มี “ขวัญ” มากอย่างแน่นอน กระนั้นหรือ
หรือไม่ใช่??????
และผมเชื่อว่า “ผู้ใหญ่” ทั้งหลายก็คงอยู่ในภาวะใกล้เคียงกันใครได้ ใครเสียครับ งานนี้ คนที่ได้มากที่สุดก็เป็น ผู้ผลิตสินค้า และระบบธุรกิจบริการต่างๆ
ผมขอย้อนกลับมาถามอีกว่า อะไรทำให้เรา “ผู้ให้” และ “ผู้รับ” พอใจ และมีความสุขมากที่สุด ตามชื่อและความหมายของคำว่า “ของขวัญ”
ผมคิดเอาเองว่า ทุกคนต้องการกำลังใจ และความเข้าใจ มากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งหมด
และ “ของ” เหล่านั้นก็เป็นเพียง “สัญลักษณ์” แห่ง “จิตใจ” และ “กำลังใจ”จะจริงหรือไม่จริงแค่ไหน หรือจะเป็นเพียงสัญลักษณ์แลกเปลี่ยนซ่อนเร้น ใดๆก็แล้วแต่ แต่ที่จริงๆ แน่ๆ ที่น่าจะเป็น ก็คือ ต้องการสร้างความรู้สึกที่มีต่อกันว่า
เราเข้าใจกันดีแค่ไหน
สื่อที่เราใช้ชัดเจน และลึกซึ้งแค่ไหน
เมื่อวานนี้ ( ๒ มกราคม ๕๐) ผมส่งสัญญาณ เข้ามาในบล็อก ว่าผมมีกำลังใจ หรือ “ขวัญ” ในการทำงาน เพราะผมได้รับ “ของขวัญ” จากพันธมิตร blog ทุกท่าน ที่ผมถือว่า เป็น “ของขวัญ” ที่ดีที่สุดในชีวิต
ที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะ “ยืนหยัดสู้ไป ใฝ่ประจัน” ตามตอนหนึ่งของเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” ที่ผมอัญเชิญมาประจำชีวิตผม ตั้งแต่จำความได้ ถึงวันนี้ และจะขอให้เปิด ในวันที่เผาศพของผม (ถ้าเป็นไปได้) อีกด้วย
ฉะนั้น ผมจึงถือว่า “ของขวัญ” ที่ดีที่สุดคือ “กำลังใจ” และความ “เข้าใจ” ที่เรามี แลก และให้กันและกัน
เป็นสิ่งที่ยั่งยืนที่สุด คุณค่าไม่เคยเสื่อม แต่กลับพอกพูน เพิ่มพูน ตามกาลเวลา และสามารถส่งต่อจากคนรุ่นหนึ่ง ไปอีกรุ่นหนึ่งได้อีกต่างหาก
สิ่งของอื่นๆ นั้นอาจเป็นแค่สัญลักษณ์ สื่อสารกันเท่านั้น
แต่เนื้อแท้น่าจะเป็น “กำลังใจ” และ “ความเข้าใจ” มากกว่า
ทำไมเราไม่ส่งให้กันโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านวัตถุ “ของ” ที่เป็นสัญลักษณ์
เรา (ผู้ให้) อาจไม่มีเวลา อาจไม่รู้ อาจทำไม่เป็น อาจไม่เข้าใจ หรือไม่กล้าเสี่ยงทำ
หรือ “ผู้รับ” ก็ไม่ทราบว่าตนต้องการอะไร หรือไม่เข้าใจตัวเอง หรือยังมีวิญญาณเสพติดบริโภคนิยมอยู่ในใจ
ทำให้เราต่างทำตามกระแสบริโภคนิยม ประเพณีนิยม ทุนนิยม การค้านิยม ฯลฯ ที่อาจเป็นเหยื่อของธุรกิจการค้า ทำให้สิ้นเปลืองได้โดยง่าย
เรากลับมาพิจารณาได้ไหมว่า เราจะส่ง “กำลังใจ” และ “ความเข้าใจ” ให้กันได้อย่างไร ที่จะไม่เป็นทาส “วัตถุนิยม” ใช้วัตถุสื่อสารกัน
แต่หลุดพ้นออกมาเป็น “จิตนิยม” ที่มีความลึกซึ้งมากกว่าเดิม ทำให้เราสามารถส่ง “ความสุข” ให้กันและกันได้อย่างแท้จริง
ผมว่า เราน่าจะใช้แกนของ “ความเข้าใจ” นี่แหละ ส่งเป็น สคส. น่าจะดีที่สุดครับ
จะสื่อโดยวิธีไหนก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกครับ
แล้วเราก็จะมี “ความสุขถ้วนหน้า” กันมากขึ้น ไม่เลือกชั้นวรรณะ ครับ
ท่านเห็นว่าอย่างไรครับกับข้อแก้ตัว เชิง “จิตนิยม” ของผม
เชิญแสดงความเห็น ถึงข้อดีข้อด้อย ได้เลยครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
อาจารย์กานดา
ขอบคุณครับที่สนับสนุนแนวคิดนี้ครับ
กราบเรียน ท่านเล่าฮู
ว่าจะไม่ชมก็ยากที่จะยั้งใจได้ อ่านแล้วต้องคาระวะ
ขอความสนทนาใจ ดังนี้ครับ
กำลังใจ
ถ้าความตั้งใจของหลายๆคน
ก็จะไปเป็นพลังใจ พลังใจเพื่อสังคมนี่เป็นเรื่องใหญ่ สำคัญ และมีความจำเป็นต่อบ้านเมืองเรามาก โชคดีที่มีปรากฎการณ์ให้เห็นในช่วงที่ประชาชนชาว ไทยหลั่งไหลไปถวายพระพรเต็มท้องสนามหลวง ในพิธีฉลองพระชนมายุพระบาทสมเด็จกระเจ้าอยู่หัว เกิดปิติทางสังคมต่อเนื่องกันมา
นับตั้งแต่พิธีพยุหยาตราที่ตรึงสายตาคนทั้งโลก สร้างปรากฎการณ์ เอกลักษณ์ให้ผืนแผ่นดินขวานทองอย่างประทับใจ นับเป็นเหตุการณ์ส่วนดีของสังคมโลกได้เรื่องหนึ่ง
การให้ของขวัญ เป็นคำขวัญ คำแสดงความยินดี ขอรับความปรารถนาดีระหว่างกัน ถือเป็นรูปแบบใหม่ในสารสื่อความสุขให้กันของมนุษยชาติยุคนี้ และคงจะพัฒนาต่อๆไป เพราะเดี๋ยวนี้ก็ประกอบด้วยน้ำคำ ภาพสวยๆเคลื่อนไหว เสียงเพลง ต่อไปคงสิ่งกลิ่นหอมๆออกมาให้ได้ด้วยกระมั๊ง พลังความรู้ของมนุษย์นั้นคาดไม่ถึงจริงๆ จะมีอะไรดีๆออกมาอีก
ที่ผมเห็นว่าชาวบล็อกได้ความสุขมากกว่ากลุ่มอื่นก็คือ เราได้รับมหกรรมความสุขจากเพื่อนใหม่ ที่หลากหลายทั่วประเทศอย่างที่ท่านเล่าฮูได้เผยความในใจไว้นั่นแหล่ะ ให้ปุ๊ป บางคนได้รับการตอบปั๊ป ยิ่งกว่าการส่งข้อความทางโทรศัพท์เสียอีก จริงไหมครับ
อ้อ! อ้าว! เอี๊อย! เกือบลืม สวีดัดครับทุกท่าน
อ่านแล้วอย่าลืมยิ้มให้กับตัวอย่างนะจ๊ะ
ดร.แสวง ครับ
ใหม่ๆก็อาจจะให้สิ่งของเป็นอุบายไปก่อน นานไปนานไปก็ให้ใจ ได้แก่ความเข้าใจ ไว้วางใจ สนิทใจ ฯลฯ มาแลกกัน แบ่งปันกัน อย่างที่สังคม gotoKnow ทำกันอยู่นี่ครับ.....ผมเองก็มีความสุขจากอย่างหลังนี่แหละครับอาจารย์ ได้เยอะมากๆ ยิ่งมีความสุขมากหากได้รับคำอวยพรจากใครก็ไม่รู้ที่เราไม่เคยรู้จักมักจจี่ ปีนี้ ลดส่ง ส.ค.ส. ลงมากเลย กะไว้ว่าจะซื้อสักไม่กี่แผ่น ส่งให้คนที่เคยส่งอยู่เป็นประจำ คนที่เคารพนับถือ และคนที่เราส่งให้มานาน
เรียน... ท่านผู้อาวุโส ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับบันทึกน้ีของท่านอาวุโส ... อยากจะคาระวะสักจอกเหมือนท่านครูบาสุทธินันท์ ขอเป็นน้ำชานะครับ
ไม่ว่าจะทำอะไร "ใจ" เป็นเรื่องสำคัญ
เริ่มตั้งแต่
ทั้งหมดที่เขียนมาดีหมดเลยใช่มั๊ยครับ แต่ที่ผมขยาดมากที่สุดคือ ใจของนายอำเภอ (อำเภอใจ) ไงครับ.... อันน้ีบั่นทอนสุขภาพทางจิตใจ หรือ ท่านอาวุโสจะว่าอย่างไร กรุณาชี้แนะผู้น้อยด้วย
คาระวะด้วยใจขอรับ......
ครูราญเมืองคอน คนนอกระบบ
เรียน อาจารย์ ดร.แสวง รวยสูงเนิน
ด้วยความเคารพ
อุทัย อันพิมพ์
ครูราญครับ
ผมยังมองเห็นความจริงใจเป็นสาระสำคัญของการให้
ของจะดีไม่ดีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เหมือนที่ผมไปเก็ยขยะจากร้านผลไม้ เขาให้ผลไม้ที่ขายไม่ได้มา ผมก็เลือกไว้ทานเองบ้าง แจกบ้าง ทิ้งบ้าง
ถ้าพูดว่า "เขาให้ขยะมา" ก็ไม่ผิด
แต่จะพูดว่า "เขาให้ผลไม้ที่ไม่ค่อยสวย แต่ยังทานได้" จะฟังเพราะกว่ากัน
และผมรู้สึกว่าผมคิดแบบหลังครับ
คุณอุทัย
ผมเคยได้ยินสมาคมคนพิการประกาศว่า "เราไม่ต้องการความเห็นใจ แต่ต้องการความเข้าใจ"
นี่คือเบื้องหลังหนึ่งของบทความเรื่องนี้ครับ
กราบสวัสดี ท่านอาจารย์แสวงด้วยความเคารพ
สิ่งที่อาจารย์ได้เปิดมุมมอง ให้แง่คิดผมหลายอย่าง อย่างน้อยที่สุดที่ผมสัมผัสได้จากท่านอาจารย์คือการทำงานกับความจริง สิ่งที่อาจารย์ได้สอนผมจะนำไปคิดต่อเพื่อการเรียนรู้สร้างปัญญา อาจารย์ที่ปรึกษาผมเปรียบได้ดังพ่อ ที่ให้ความรู้ ทุกครั้งที่เวลาที่นึกความยากลำบากในชีวิต ภาพที่อาจารย์เคยพาผมไปตามที่ต่างๆคือแรงบันดาลใจให้ผมสู้ จนมีอยู่มีกิน กระผมดีใจมาก ภูมิใจและศรัทธา ในสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้พร่ำสอน จากวันที่อาจารย์วิริยะได้แนะนำท่านอาจารย์ให้กระผมไปเรียนด้วย มาวันนี้กระผมแน่ใจแล้ว ว่าท่านอาจารย์ได้เปิดมุมมอง ให้ผมอยู่บนความจริงของการเกษตรที่เราหาทางกลับบ้านเก่าเจอ ได้เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์แสวง ได้พบครูบาสุทธินันท์และปราชญ์ท่านอื่นๆ รวมทั้งเกษตรกรที่สอนผมมามากมาย คือความโชคดีของกระผม ผมเป็นหนี้บุญคุณท่านมากนัก หากไม่มีจุดเปลี่ยนวันนั้นกระผมคงไม่มีวันนี้ที่การเกษตรทำให้เรามีกิน
ท้ายนี้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นเป็นสุข เป็นแรงใจให้ท่านอาจารย์มีกำลังใจที่ดีในการทำงานต่อไป
นิสิต คำหล้า
(ลูกศิษย์)
กำลังใจและความเข้าใจสำคัญที่สุดโดยเฉพาะจากคนที่เรารัก
กำลังใจและความเข้าใจจากคนที่เรารักสำคัญมากค่ะ
กำลังใจหรือการกระทำที่แสดงออกมาต่อกันนั้น ย่อมมีความสำคัญมากกว่าวัตถุต่าง ๆ เพราะเวลาที่เรารู้สึกพ่ายแพ้หรือผิดหวัง ก็มีแต่กำลังใจที่มาจากคนรอบข้างเท่านั้นที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้ ต่างจากวัตถุนิยมต่าง ๆ แม้ว่าจะสูงค่าแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำให้คนเรารู้สึกดี หรือมีความเข้มแข็งได้อย่างแท้จริง