องค์การในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ที่โลกหมุนเร็วเท่าเดิมแต่คนกลับรู้สึกว่ามันหมุนเร็วขึ้น เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวันเท่าเดิมแต่ก็เหมือนจะไม่พอใช้ คนเราจึงต่างก็เร่งรีบ ยื้อแย่งแข่งขันกันมากขึ้น กลายเป็นเวลาดิจิตัลที่ใครช้าเสียเปรียบ ใครช้าถอยหลังทันที ลูกค้ารอไมได้นาน สิ่งนี้ส่งผลให้ทุกองค์การต้องมุ่งไปสู่การตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็ว ทันเวลาและทันใจต่อความต้องการด้วย องค์การทุกแห่งจึงมุ่งไปสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ โดยทำให้คนในองค์การมีการเรียนรู้ให้มากที่สุดเพื่อนำเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้ในการพัฒนาองค์การ
การเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งสำคัญเริ่มต้นสำหรับองค์การแห่งการเรียนรู้และการจัดการความรู้ ที่ต้องอาศัยทั้งการอ่าน ฟัง ดู คิด ทำ พูด เขียน อย่างเป็นวัฏจักรไม่หยุดนิ่ง มีคำกล่าวเตือนใจอย่างดีในการเรียนรู้ก็คือ “ประโยชน์ของกะลาไม่ได้มีไว้ครอบหัวเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นภาชนะรองรับความคิดเห็นของคนอื่นเพื่อเติมปัญญาให้แก่ตนเองเพิ่มขึ้นได้”
ในการส่งเสริมการเรียนรู้นั้นเดิมก็เรียกว่าเป็นการฝึกอบรมซึ่งเป็นการพัฒนาเจ้าหน้าที่ซึ่งเราต้องพัฒนาในลักษณะของส่วนบุคคล (Individual Development: ID) เช่นการจัดกิจกรรมธรรมานามัย เพื่อพัฒนาตนเอง การฝึกอบรมเพื่อให้ทำงานได้ดีขึ้นตามตำแหน่งหน้าที่ (Training & Development: TD) การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทีมงานให้เอื้อต่อการทำงานร่วมกันได้ดี (Organization Development: OD) และการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาสายงานอาชีพให้เตรียมพร้อมสำหรับการรองรับการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง (Career Development: CD) ทั้ง 4 ประการนี้ ผมเรียกสั้นๆว่า ITOC ถือเป็นหน้าที่หลักของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD: Human resource Development) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของหน้าที่หลักของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (HRM: Human resource Management) คือการสรรหา การพัฒนา การรักษาไว้และการใช้ประโยชน์ (ดูรายละเอียดในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่เขียนไว้แล้ว)2. Learning by Training เป็นการเรียนรู้ที่สำคัญอีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันมาก มีทั้งการจัดอบรมภายในหน่วยงานเองและการส่งออกไปอบรมนอกหน่วยงาน การอบรมยังสามารถแบ่งออกได้อีกเป็นการอบรมที่ไม่ขาดไปจากงานประจำเป็นOn the job Training ซึ่งไม่ต้องลาไปศึกษาแบบเต็มเวลามีทั้งการอบรมทั้งจัดภายในภายนอกหน่วยงานกับการเรียนภาคพิเศษ เช่นการเรียนปริญญาตรีหรือโท การเรียนการศึกษานอกโรงเรียน เป็นต้น การอบรมอีกแบบก็คือการลาขาดจากงานไประยะเวลาหนึ่งโดยการไปศึกษาอบรมกับสถาบันทางการศึกษาเป็น Off the job Training
ที่เราใช้มากก็คือแบบOn the Job Training โดยเฉพาะการอบรมภายในหน่วยงานที่ใช้วิทยากรของเราเอง แต่ก็มีปัญหาเรื่องการยอมรับของคนฟัง ก็ใช้อำนาจช่วยบ้างในช่วงแรกคือการขอให้มาฟัง ร่วมกับการร่วมเป็นวิทยากรของผู้อำนวยการ แต่พอทำๆไปทุกคนก็เริ่มเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราจัดให้ได้นำไปใช้จริง ทำให้เกิดความสนใจ ตรงกับกฎหลักของการจัดการความรู้ข้อ2 ของSnowdenที่ว่า เรียนรู้เมื่อต้องใช้งานจริง ผลประโยชน์ที่ได้อีกประการก็คือการได้สร้างความมั่นใจให้กับวิทยากรภายในของเราเอง ประหยัดค่าจ้างวิทยากรภายนอก ที่สำคัญรูปแบบการอบรมต้องน่าสนใจ ไม่ใช่มานั่งฟังบรรยายกันอย่างเดียว มี การจัดกิจกรรมเสริม กิจกรรมกลุ่ม walk Rally กิจกรรมถามตอบ กิจกรรมสอบวัดความรู้แบบเป็นทีม หรือจัดการแข่งขัน ประกวดกัน บางครั้งก็เป็นการเล่นสนุกๆที่เสริมความรู้ที่ต้องการให้รู้ เป็นต้น เราอบรมความรู้เรื่อง 5 ส โดยไม่จัดอบรมแต่จัดให้สอบเลย โดยคิดคะแนนรวมของทั้งทีมทั้งตึก ปรากฎว่าเกิดบรรยากาศการติวกันในทุกตึก ทำเอกสารความรู้ 5 ส แจกกันเอง พอถึงวันสอบแทนที่จะสอบคนเดียวเราก็ให้นั่งสอบเป็นคู่โดยให้ปรึกษากันแต่ต้องเขียนตอบกันคนละใบ (วัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้เครียด เนื่องจากเราไม่ได้หาคนเก่ง แต่ต้องการทำให้ทุกคนรู้ การจับคู่กันก็เป็นการให้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นกัน) เวลาสอบคนคุมสอบก็ออกจากห้องบ่อยๆเพื่อเปิดโอกาสให้ถามกันได้ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ตื่นเต้น เร้าใจดีมาก หรือการจัดกิจกรรมโอดีของเราก็ใช้วิทยากรภายในในการทำกิจกรรมกลุ่ม ก็สามารถสร้างความสนุกสนาน สร้างความรู้สึกเป็นกลุ่มเป็นทีมได้เช่นกันคุณหมอครับ...ขอแจมด้วยนะครับ (อย่าว่า ..ส..ไปทุกเรื่องเลยนะครับ...) ในวงการศึกษาศาสตร์มีคำ constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการสร้าง(ความรู้)ของผู้เรียนเอง แต่เป็นกระบวนการในสมอง ไม่ใช่เพียง "Doing" อย่างเดียวแต่ต้องมี Reflection (ในกระบวนการคิด) จึงจะกลายเป็น reflexivity ที่เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่เรียนรู โปรดสังเกตว่าคำนี้คล้ายกับ "น้ำของเพชร" นัยก็คือคนที่เรียนรู้เหมือนคนที่ได้รับการเจียรนัยแล้ว กลายเป็นเพชรที่มีประกายหลายมุม ดังนั้นอาจจะมีอีกมิติคือ Learning by construction นอกจากนี้แล้วเท่าที่ผมสืบค้นคำ Learning Organization (เข้า knowledge.com แล้วให้ google ช่วย search ด้วยคำ Learning Organization) มีคำอีกคำที่ปรากฏเพิ่ม (ไม่แน่ใจว่าเป็นของท่าน Senge หรือไม่) ว่า Organizational Learning ซึ่งมี sense ว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องการรวมหมู่ เป็น community of learners (คล้าย community of practice) ซึ่งก็น่าคิดเพราะคนๆเดียวไม่น่าจะ hold องค์ความรู้ที่มากมายและเป็นพลวัตได้ทั้งหมด ความคิดคนเป็น distributed mind .... ขอโทษที่เขียนมาเสียยาวครับ...